วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ยาเม็ดคุมกำเนิด

ยาเม็ดคุมกำเนิด


                  ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่คุณผู้หญิงนิยมใช้กัน เนื่องจากสะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง การใช้ยาอาจจะยุ่งยากสำหรับน้องสาวมือใหม่ มาลองฟังข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับยาเม็ดคุมกำเนิด เพื่อการใช้ที่ถูกต้อง

ก่อนเริ่มใช้ควรทำอย่างไร

· แนะนำให้ไปหาแพทย์เสียก่อนเพื่อตรวจสุขภาพว่า ตัวคุณเองไม่เป็นโรคที่ห้ามใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด หรือมีปัจจัยเสี่ยงกับสุขภาพหากใช้ยาคุม เช่นระดับไขมันในเลือดสูงอยู่แล้ว

· ต้องมั่นใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ เพราะยาเม็ดฮอร์โมนเมื่อทานเข้าไป มีผลอันตรายต่อทารกได้

วิธีเริ่มต้นทานยาแผงและแผงต่อไป

สำหรับแผงแรก

· สำหรับยาเม็ดแบบ 21 เม็ด เมื่อได้ยาแผงแรกมา พอประจำเดือนมาวันแรกให้นับเป็นวันที่ 1 เม็ดแรกของแผงให้เริ่มกินภายใน 5 วันของรอบเดือน

· สำหรับยาเม็ด 28 เม็ด จะเริ่มทานเม็ดแรกในวันแรกที่มีประจำเดือนเลย

· หากในแผงยามีคำว่า เริ่มต้น หรือ START ให้เริ่มกินเม็ดนั้นก่อน หรือเม็ดที่อยู่ในบริเวณเริ่มต้น และกินไปตามลูกศรที่ชี้ไว้

· หากเป็นยาเม็ดชนิดที่เริ่มทานเม็ดไหนก็ได้ เพื่อให้จำง่ายควรเลือกเม็ดยาตรงกับวันที่กิน เช่น เริ่มกินวันจันทร์ก็เลือกเม็ดยาที่ตรงกับวันจันทร์ หรือมีอักษร "จ" หรือ "MON" กำกับ

สำหรับแผงต่อไป

· ยาชนิด 21 เม็ด เมื่อหมดแผงแรกแล้ว ให้หยุดยา (ปกติหมดเม็ดที่ 21 แล้ว อีก 2-3 วันรอบเดือนก็จะมา) รอจนประจำเดือนมาแล้วจึงเริ่มแผงใหม่ในวันที่ 5 ได้เลย โดยนับวันที่เริ่มมีประจำเดือนมาเป็นวันที่ 1 เช่นเดิม หรือเว้นไม่กิน 7 วัน เมื่อครบ 7 วันที่ไม่กินแล้ว วันที่ 8 ให้เริ่มแผงใหม่ทันที ไม่ว่ารอบเดือนจะมาหรือไม่มา

· ชนิด 28 เม็ด เมื่อหมดแผงแรกไม่ต้องหยุดทาน เริ่มต้นแผงใหม่ในวันรุ่งขึ้นได้เลย ไม่ต้องรอรอบเดือน ไม่ว่ารอบเดือนจะมาหรือไม่มา รอบเดือนจะหยุดหรือไม่หยุดก็ตาม

                                              
   

ต้องทานติดต่อกันทุกวัน

ต้องทานทุกวัน วันละ 1 เม็ด ควรเป็นเวลาเดียวกัน เพื่อให้ได้รับปริมาณความเข้มข้นของยาในกระแสเลือดสูงเพียงพอและสม่ำเสมอในการออกฤทธิ์

เมื่อลืมทานยา

· นึกได้เวลาใด ให้ไปหยิบเม็ดที่ลืมมาทานทันที (เท่ากับทานเม็ดนั้นช้าไปหน่อย) ห้ามผลัดวันอีกต่อไป แล้วทานเม็ดถัดมาตามเวลาที่เคยทานอยู่ประจำ แต่ถ้านึกได้ในเวลาที่ต้องทานอีกเม็ด ก็ทานสองเม็ดควบเลย

· ถ้าลืมทาน 2 เม็ด ให้ทาน 2 เม็ดทันทีที่ลืม แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นทานอีก 1 เม็ด เย็นนั้นทาน 1 เม็ด เช้าวันรุ่งขึ้นทานอีกเม็ด (เพิ่มตอนเช้า สองเช้า เช้าละเม็ด) กรณีเช่นนี้อาจทำให้รอบเดือนมากระปริบกระปรอยได้ และถ้าลืมในช่วง 1 – 7 เม็ดแรก โอกาสพลาดอาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากปริมาณยาสูงๆต่ำๆไม่เพียงพอในการออกฤทธิ์ จึงต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นช่วยด้วย เช่นใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย แต่ถ้าลืมในช่วงท้ายๆหรือจะหมดแผงก็ไม่ค่อยมีผลมากเท่าไหร่

· ถ้าลืมทาน 3 เม็ด ก็หยุดยาเลยครับ รอให้รอบเดือนมาใหม่ กลับไปใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นๆ แล้วเริ่มต้นแผงใหม่ภายใน 5 วัน นับจากวันแรกที่มีประจำเดือน

· ถ้าทานยาแล้วอาเจียน ถ้าอาเจียนหลัง 2 ชั่วโมงไปแล้วก็ไม่มีผลอะไร แต่ถ้าอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมง ก็ต้องทานซ้ำอีกเม็ดทันที ถ้าเป็นยาคุมแบบที่มีฮอร์โมนเท่ากันทุกเม็ด จะทานเม็ดไหนก็ได้ แต่ถ้าเป็นแบบ triphasic คือ แต่ละเม็ดมีฮอร์โมนไม่เท่ากัน ก็ต้องซื้ออีกแผงมาเสริมเม็ดที่อาเจียนออกไป ทานตรงเม็ดที่อาเจียนออกไป

· หากมีอาการท้องเดินหลายวัน การดูดซึมของยาจะไม่ดี ควรใช้การป้องกันวิธีอื่นช่วยด้วย (กรณีเช่นนี้อาจมีเลือดออกกระปริบกระปรอยได้)

ทานไปแล้ว มีผลข้างเคียง

ที่พบบ่อยได้แก่ คลื่นไส้ มีเลือดออกระหว่างรอบเดือน ปวดศีรษะ วิงเวียน ซึมเศร้า มีสิวฝ้า คัดเต้านมและเจ็บ น้ำหนักเพิ่ม มีประจำเดือนน้อยลง อาการข้างเคียงเหล่านี้ จะเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะ 2-3 เดือนแรกของการใช้ยา เนื่องจากระบบฮอร์โมนของคุณกำลังปรับตัวอยู่ ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด ไม่จำเป็นต้องหยุดยา แต่หากมีอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทันที

ระหว่างนี้กำลังทานยาอื่นประจำอยู่

· ยาเม็ดคุมกำเนิดอาจเกิดปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยาทำให้ยาที่ทานอยู่ประจำ หรือทานควบคู่กันอยู่มีประสิทธ์ภาพเปลี่ยนไป

· ยาปฏิชีวนะ ยาป้องกันการชักบางชนิด ยาลดน้ำตาลในเลือด (ยาเบาหวาน) อาจลดประสิทธิภาพลง หากต้องใช้ยาเหล่านี้ร่วมกันควรปรึกษาเภสัชกรใจดีที่ร้านยาหรือที่โรงพยาบาลได้เลย

เลือกยาเม็ดคุมกำเนิดแบบไหนดีนะ




จะเลือกยาคุมแบบไหนดี
แนวทางของเภสัชกรชุมชน มีคำแนะนำดังต่อไปนี้ เมื่อคุณๆเดินเข้าไปขอคำปรึกษาในการเลือกยาคุม

1. คุณเป็นผู้หญิงแบบไหน

ในทางการแพทย์แบ่งรูปแบบของคุณผู้หญิงออกเป็นแต่ละแบบ โดยดูจากรูปทรงองค์เอวภายนอกของสาวๆแต่ละรายที่จะสัมพันธ์กับระดับของฮอร์โมนเพศหญิง ในแต่ละท่านจะไม่เหมือนกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นสามแบบดังนี้

1.1 ผู้หญิงแบบ estrogenic

แบบนี้บางทีเรียกว่าแบบ “ผู้หยิ้ง ผู้หญิง” ถ้าพิศดูจากรูปทรงแล้วคุณๆก็เป็นแบบประเภทเนื้อ นม ไข่ คือมักมีรูปร่างอวบ ผิวเนียนไม่ค่อยมีขน ถ้าสอบถามประวัติการมีประจำเดือนที่ผ่านมา ก็มักจะมีเลือดประจำเดือนออกมาในปริมาณมาก แต่ละครั้งมาทีหนึ่งก็จะออกนานกว่า 6 วัน และระยะเวลาของระยะรอบเดือนจะสั้นหรือประจำเดือนมาเร็ว คือจะน้อยกว่า 26 วันต่อครั้ง

เภสัชกรมักจะแนะนำให้ใช้ยาคุมที่มีสูตร progestogen ในปริมาณที่มากหน่อย เพื่อลดผลข้างเคียงต่างๆ

1.2 ผู้หญิงแบบปกติ

ก็มีรูปร่างเหมือนสาวๆทั่วไป รอบเดือนประมาณ 28วัน ปริมาณเลือดก็ปกติมาภายใน 4 ถึง 6 วัน

1.3 ผู้หญิงแบบ progestonic

แบบนี้เรียกว่าแบบ “ทอมบอย” รูปร่างจะออกไปทางผู้ชาย คือมักจะมีเต้านมเล็ก มีขนขึ้นตามตัว บางคนมีขนอ่อนๆขึ้นบริเวณริมฝีปากแบบเดียวกับหนวดของคุณผู้ชาย พอเป็นวัยรุ่นสาวมักจะเป็นสิวได้ง่าย พอสอบถามเรื่องรอบเดือนก็จะมีเลือดประจำเดือนมาน้อย มาครั้งหนึ่งก็น้อยกว่า 4 วัน และระยะรอบเดือนจะยาวมากกว่า 28 วัน บางคนกว่า 30 วันจึงจะมาก็มี

แบบที่สองและสาม เภสัชกรมักจะเลือกยาคุมที่มีส่วนผสมของ estrogen มากหน่อยให้




2. ช่วงอายุของคุณ

เภสัชกรมักให้ยาคุมสำหรับสตรีที่มากกว่า 16 ปี ถ้าต่ำกว่านี้ไม่แนะนำให้กินยาคุม เพราะผลจากฮอร์โมนในเม็ดยาไปรบกวนฮอร์โมนควบคุมการเติบโตตามธรรมชาติ อาจส่งผลทำให้คุณผู้หญิงตัวเตี้ยลงได้

ถ้าคุณมีอายุมากกว่า 40 ปีโดยเฉพาะหากคุณมีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจหรือมีระดับไขมันในเลือดสูงหรือญาติสตรีฝ่ายแม่ทีเคยเป็นโรคหัวใจขาดเลือดมาก่อน ก็ไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิด เนื่องจากในเม็ดยามีฮอร์โมนที่อาจไปรบกวนระบบไขมัน เภสัชกรจะแนะนำให้ใช้วิธีฉีดยาคุมกำเนิดหรือใส่ห่วงอนามัยจะปลอดภัยกว่า แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ ก็เลือกยาคุมสูตรที่ไม่มีเอสโตรเจนหรือมีเอสโตรเจนน้อย จะได้ไม่มีผลต่อโรคหัวใจและระบบหลอดเลือด

3. สตรีที่มีบุตรแล้ว

เภสัชกรจะสอบถามคุณว่า ระหว่างช่วงตั้งครรภ์ คุณมีอาการแพ้ท้องอย่างมากหรือเปล่า เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือบวม เพราะมันเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าร่างกายของคุณมีการตอบสนองต่อเอสโตรเจนอย่างมาก เรามักจะเลือกยาคุมสูตรที่มีเอสโตรเจนน้อยๆ

หากระหว่างตั้งท้องแล้ว คุณมีการเพิ่มน้ำหนักจนอ้วนมากและมีสิวเกิดขึ้นมาก แสดงว่าตัวคุณมีการตอบสนองต่อโปรเจสโตเจนและแอนโดรเจนอย่างมาก เราจะแนะนำให้เลือกยาคุมที่มีสูตรผสมที่มีโปรเจสโตเจนน้อย

กรณีคุณแม่ที่มีลูกอ่อนกำลังให้นมลูกด้วยตนเอง จะเลือกยาคุมสูตรที่ไม่มีเอสโตรเจน หรือถ้ามีเอสโตรเจนก็ควรไม่เกิน 20 ไมโครกรัม แต่เมื่อหยุดให้นมลูกแล้วก็เปลี่ยนกลับมากินแบบปกติได้ เพราะเอสโตรเจนขนาดสูงอาจมีผลให้ปริมาณน้ำนมลดลงได้ และตัวฮอร์โมนเอสโตรเจนเองสามารถออกทางน้ำนม พอลูกคุณดูดเข้าไปจะทำให้เด็กตาเหลืองได้ และคุณแม่สามารถเริ่มรับประทานยาคุมได้ได้ตั้งแต่ 6 สัปดาห์หลังคลอดแล้ว

สอบถามเพิ่มเติมที่ร้านขายยา


ที่มา ภ.ญ.พูลสุข จันทร์วัฒนเดชากุล สิ่งสำคัญที่ควรรู้เมื่อคุณใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด / นิตยสารบันทึกคุณแม่ / เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล
http://www.never-age.com/2213-1-ยาเม็ดคุมกำเนิด%20รับประทานอย่างไร.html



แผลในปาก


แผลในปาก

แผลในปาก

แผลร้อนในในปากเป็นเรื่องธรรดาที่ทุกคนเป็น โดยเฉพาะผู้หญิงและผู้ที่มีอายุระหว่าง 15-45 ปี มักเกิดขึ้นที่เนื้อเยื่อบุของผิวช่องปาก อาจเกิดเพียงหนึ่งแห่งหรือหลายแห่งก็ได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วอาจทำให้เจ็บปวดมาก
แผลในปาก บางครั้งไม่ได้เกิดจากสาเหตุร้อนในอย่างเดียว อาจเป็นเพราะกัดกระพุ้งแก้มตัวเองขณะรับประทานอาหาร แปรงฟันผิดวิธีหรือแปรงสีฟันกระแทกจนเป็นแผล หรือสาเหตุอื่น

สาเหตุของการเกิดแผลร้อนใน

  1. อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
  2. ความเครียด
  3. ดื่มน้ำน้อย
  4. พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก
  5. กรรมพันธุ์
  6. ภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะขาดธาตุเหล็ก โฟเล็ต หรือวิตามินบี 12
  7. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนผู้หญิงก่อนมีประจำเดือน
  8. เป็นโรคกรดไหลย้อน อีสุกอีใส โรคมือเท้าและปาก เจ็บคอ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

ลักษณะของแผลร้อนใน

แผลร้อนในมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรีมักพบบริเวณเยื่อเมือกด้านริมฝีปาก ด้านแก้ม กระพุงแก้มและขอบของลิ้น มีขนาดเล็ก 2 มิลลิเมตร – 8 มิลลิเมตร แผลร้อนในในปากจะหายได้เองใน 10-14 วัน

อาการแผลในปาก

มีอาการแสบเจ็บ มีความเจ็บปวดเมื่อรับประทานอาหารหรือพูด เมื่อเยื่อบุผิวหนังช่องปากฉีกขาดจะเป็นแผล วงกลมรี มีสีเหลืองอ่อน ซึ่งจะทำให้มีอาการเจ็บปวดมากขึ้น แผลร้อนในในปากไม่เป็นอันตรายแต่จะทำให้คุณรู้สึกไม่สบาย รำคาญ ยิ่งเวลาที่คุณกิน ดื่ม หรือแปรงฟัน

การรักษาแผลในปาก

  1. ใช้น้ำเกลือบ้วนปาก เพื่อลดอาการเจ็บและอาการอักเสบ
  2. หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัดและอาหารที่มีรสเปรี้ยวและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจทำให้อาการแผลในปากมีอาการรุนแรงมากขึ้น
  3. ยาแก้ปวดหรือยาต้านอักเสบ เช่น ไอบูโปรเฟน และแอสไพริน
  4. ใช้สารสเตียรอยด์ชนิดป้ายปากเพื่อทาที่แผล มีขายตามท้องตลาด ป้ายยาที่แผลจะทำให้หายเร็วขึ้น
  5. ยาป้ายที่ผสมยาชา ป้ายก่อนรับประทานอาหารเพื่อลดอาการเจ็บแสบและช่วยผสานเนื้อเยื่อให้หายเร็วขึ้น

การวินิจฉัย

ตรวจเลือดเพื่อดูว่าร่างกายขาดสารอาหารหรือไม่ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก โฟเล็ต หรือวิตามินบี 12 ขาดู ถ้าขาดสามารถเสริมได้จะทำให้อาการดีขึ้น

วิธีป้องกัน

แผลร้อนในเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายกำลังเหนื่อยล้าและทรุดโทรม คุณควรดูแลตัวเองให้แข็งแรงด้วยการ
  1. รับประทานอาหารให้เหมาะสมและหลากหลาย
  2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายในที่แจ้งและในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์เป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้
  3. การเรียนรู้วิธีการจัดการความเครียด
  4. แปรงฟันให้ถูกวิธี
  5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ ดื่มน้อยแต่ดื่มบ่อยๆ และไม่ควรดื่มน้ำเย็น
  6. ตรวจสุขภาพฟันทุกๆ 6 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าฟันของคุณมีสุขภาพดี
  7. ใช้แปรงสีฟันนุ่ม

ควรไปพบแพทย์เมื่อ?

แผลร้อนในจะหายได้เองไม่เกิน 14 วัน ถ้าเป็นแผลนานเกิน 3 สัปดาห์และมีอาการเจ็บปวดมากและอักเสบมากขึ้น

ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแผลในปาก

  • แผลร้อนในไม่ใช่โรคติดต่อ คุณไม่สามารถได้รับแผลจากการจูบหรือดื่มน้ำแก้วเดียวกัน
  • การรับประทานอาหารบางชนิดสามารถเพิ่มโอกาสของการเกิดแผลที่ปาก เช่น ช็อคโกแลต กาแฟ ถั่วลิสง อัลมอนด์ สตรอเบอร์รี่ ชีส มะเขือเทศ แป้งหมี่
สอบถามเพิ่มเติมที่ร้านขายยา

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เซรั่มลดรอยแผลเป็น Smooth E Smooth Sca Serum

แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่

เซรั่มลดรอยแผลเป็น Smooth E Smooth Scar Serum


Smooth E Smooth Scar Serum ® Advance Formula Scar Therapy 
     นวัตกรรมใหม่ของเซรั่มลดรอยแผลเป็น ประกอบไปด้วย สารสกัดบริสุทธิ์จากธรรมชาติและเทคโนโลยีเปปไทด์ ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษช่วยลดรอยแผลเป็นในลักษณะต่าง ๆ สามารถใช้ได้ทั้งแผลเป็นที่เกิดจากสิว จุดด่างดำที่เกิดจากสิว หลุมสิวแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกและแผลผ่าตัด ทำให้รอยแผลนุ่มนวล เรียบเนียนขึ้นแลดูจางลง 
  1. ช่วยลดรอยแดง รอยดำ หลังการเกิดสิว
  2. ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นอันเกิดจากสิว
  3. ช่วยให้ขนาดของรอยแผลเป็นอันเกิดจากสิวแลดูลดลง
  4. ช่วยฟื้นฟูให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น
  5. ช่วยให้รอยคล้ำจากแผลเป็นจางลง และช่วยทำให้แผลเรียบเนียน
  6. ช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นที่มีลักษณะนูนแดงในบาดแผลที่หายใหม่
  7. ป้องกันการเกิดแผลเป็นจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น แผลเป็นจากสิว แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
  8. ช่วยทำให้แผลเนียนนุ่ม รอยแผลเป็นดูจางลง
  9. ใช้บำรุงผิวที่มีปัญหาจากรอยแผลเป็นเช่น คีลอยด์ แผลเป็นหลังผ่าตัด ช่วยให้แผลเป็นนุ่มขึ้น
  10. ตัวยาทำจากสารสกัดสมุนไพรธรรมชาติ 5 ชนิด
  11. มีสารออกฤทธิ์เทคโนโลยีเปปไทด์

ส่วนประกอบสำคัญสกัดบริสุทธิ์จากธรรมชาติ Purifying Botanical Ingredients และเทคโนโลยีสารออกฤทธิ์ขั้นสูง  

Allium Cepa สารสกัดบริสุทธิ์จากหัวหอม ช่วยยับยั้งการอักเสบของผิวหนังและยับยั้งการเจริญเติบโตแบคทีเรีย ทำให้รอยแดงและรอยคล้ำจางลง ลดขนาดและรอยแดง ซึ่งเกิดจากแผลเป็นให้เล็กลง

Cephalin สาร บริสุทธิ์ จาก Wheat Cereal เป็น Phosphoglyceride ชนิดหนึ่งที่ช่วยลดการระคายเคือง รอยแดง ช่วยสมานผิว ไม่แผลเป็นกว้างขึ้น ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับแผลเป็น ช่วยให้แผลนูน นุ่มขึ้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Hydrolyzed ceratonia silliqua seed extract โอลิโกกาแลคโทแมนแนน ที่ช่วยสมานผิวที่ถูกทำลายได้อย่างอ่อนโยน ช่วยลดเลือดรอยแดงที่บริเวณผิว ปรับสมดุลความชุ่มชื้นที่ผิว

Centella Asiatica มี Asiaticoside ซึ่งเป็นสารกลัยโคไซด์ ออกฤทธิ์ช่วยสมานผิวช่วยให้ ทำให้รอยแผลเป็นเรียบเนียนแลดูอ่อนเยาว์

Aloe vera Extract สารสกัดจากว่านหางจระเข้ ยับยั้งการระคายเคืองของผิวหนัง และคืนความชุ่มชื่นสู่ผิว ช่วยให้แผลเป็นดูจางลง

MethylsilanolHydroxyproline ไซลานอลเทคโนโลยีเป็นออร์แกนิคซิลิคอน จุดกำเนิดของการฟื้นฟูผิว ช่วยให้รอยแผลเป็นดูจางลงและเรียบเนียนขึ้น มีงานวิจัยพบว่า ช่วยในการปรับและจัดเรียงเซลล์ผิวให้เกิดความสมดุล และก่อให้เกิดความชุ่มชื้นทำให้รอยแผลเป็นจางลง

Palmitoyl Tripeptide-5 เทคโนโลยีเปปไทด์ขนาดเล็กที่ถูกออกแบบเพื่อเติมเต็มล่องลึก ช่วยให้ผิวดูเนียนเรียบไม่เป็นแผลขรุขระ




Hyaluronic acid เติมความชุ่มชื้นทำให้ผิวมีความอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่นเสริมการเยียวยาบาดแผล


Allantoin 
ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ไม่แห้งตึงและกระตุ้นการเกิดเซลล์ผิวใหม่


Vitamin E ช่วยให้ผิวหนังเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น แข็งแรง แผลเป็นนุ่มลง ผิวสวยสดใสขึ้น


Niacinamide ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี ทำให้รอยดำลดเลือน



    --------------------------------------


    วิธีใช้ 
         ทาบริเวณรอยแผลเป็น นวดเบา ๆ จนกระทั่งเจลซึมซาบเข้าสู่ผิว วันละ 3- 4 ครั้ง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ควรใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
    คำแนะนำ 
    • สำหรับรอยแผลเป็นใหม่ ให้ทาบริเวณบาดแผลที่ปิดสนิทแล้ว หรือ 7-10 วัน หลังเกิดแผล โดยใช้ติดต่อกันประมาณ 4-6 สัปดาห์
    • สำหรับรอยแผลเป็นเก่าและมีลักษณะนูนแข็ง ให้นวดเบาๆ ขณะใช้ ประมาณ 2-3 นาที ใช้ติดต่อกันประมาณ 4-6 เดือน
    ผ่านการทดสอบจาก Spin Control
    1. ผลิตภัณฑ์ Smooth E Smooth ScaSerum มีประสิทธิภาพในการลดเลือนลอยแผลเป็นอันเกิดจากสิวให้ดูขาวและสว่างหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ 2 และ 4 สัปดาห์
    2. อาสาสมัครมีความพึงพอใจในการใช้ผลิตภัณฑ์ Smooth E Smooth ScaSerum นี้ช่วยลดขนาดของรอยแผลเป็นอันเกิดจากสิวแลดูลดลงใน 4 สัปดาห์ ที่ 100 %
    3. อาสาสมัครมีความพึงพอใจในการใช้ผลิตภัณฑ์ Smooth E Smooth ScaSerum นี้ช่วยลดความหมองคล้ำ และผิวบริเวณที่ถูกทำลายซึ่งสังเกตุเห็นได้ใน 4 สัปดาห์ ที่ 95.5 %
    ------------------------------------------
    *ขอบคุณข้อมูลจากเวปไซต์ Cosmenet.com และ http://www.bloggang.com ผู้ให้ข้อมูล

    รายละเอียดด้านหลังกล่อง 
    ใบแทรกด้านในกล่อง 


    ส่วนประกอบ


    วันที่ผลิตมีบอกทั้งที่กล่องและที่ปลายหลอดนะคะ


    เนื้อครีม เป็นเซรั่มสีขาวเนื้อบางเบาแต่จะข้นๆหน่อยไม่ใสเหมือนเซรั่มทั่วไป ไม่ต้องกังวลไปว่าตัวนี้จะทำให้หน้ามันหรือว่าเหนอะหนะเลยค่ะบางเบามาก มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ด้วย
    (นกเอาไปทาที่ขาตรงที่มีแผลเป็นอยู่นะคะ บีบออกมาแล้วเสียดายของ 555 )




    สอบถามเพิ่มเติมที่ร้านขายยา