วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ดูแลสุขภาพในหน้าหนาว

ดูแลสุขภาพในหน้าหนาว



มีโรคใดบ้างที่พบบ่อยในฤดูหนาวในช่วงฤดูหนาว
      
         เราอาจเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส บางคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่เดิม โดยเฉพาะแพ้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในบ้าน เช่น ขนของสัตว์เลื้ยง ตัวไรในฝุ่นก็อาจมีอาการแพ้มากขึ้น โดยอาจมีอาการจาม น้ำ มูกไหล หรือบางคนที่เป็นโรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรังอยู่ก่อนแล้วก็อาจมีอาการหอบมากขึ้นได้โดยเฉพาะถ้าติดไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ร่วมด้วย นอกจากนั้น ปัญหาเรื่องผิวหนังก็เป็นเรื่องที่พบได้บ่อย เช่น ผิวแห้งคัน หลังอาบน้ำ ซึ่งพบบ่อยมากในผู้สูงอายุซึ่งมีไขมันใต้ผิวหนังน้อยและต่อมไขมันก็ทำงานลดลงตามอายุหรือคนที่ผิวแห้งอยู่เดิมก็อาจคันมากหรือผิวลอกไปเลย บางรายที่เป็นผื่นผิวหนังแพ้อากาศเย็นก็อาจทำให้มีผื่น แพ้อากาศเกิดขึ้นได้ในช่วงนี้

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องสุขภาพ

         ไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งติดต่อได้ทางระบบหายใจ เช่น ไอจาม ทำให้เชื้อโรคกระจายออกมาในอากาศ หรือจากการที่มีเสมหะ น้ำลายของผู้ป่วยเปื้อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ เช่น ลูกบิดประตูราวบันไดแก้วน้ำ แล้วมือเราไปสัมผัสมาแล้วเผลอไปจับจมูกจับหน้าของเราทำให้เชื้อโรคเข้าจมูกหรือตาได้  
          ส่วนอาการโรคภูมิแพ้เกิดจากการที่เรามีโอกาสมากขึ้นในการอยู่ใกล้ชิดกับสิ่งที่เราแพ้เช่น พอฤดูหนาว เราและสัตว์เลื้ยงอาจอยู่ในบ้านมากขึ้น ถ้าเราแพ้ขนสัตว์อาจทำให้เรามีอาการมากขึ้นหรือเรานอนมากขึ้นในฤดูหนาวทำให้แพ้ต้วไรในฝุ่นตามที่นอน หมอน มุ้งมากขึ้น สำหรับอาการผื่นแพ้อากาศเย็นหรือ คันตามผิว คันแห้ง ลอกนั้นเกิดจากอากาศที่เย็น โดยตรง

โรคที่มีผลกระทบต่อสุขภาพมากที่สุด
โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่พบว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพมากที่สุดในฤดูหนาวเพราะเป็นโรคที่อาจเกิดผลแทรกซ้อนได้และอาจมีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากได้โดยเฉพาะถ้ามีการระบาด โดยประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นโรคนี้ปีละ 20,000 – 50,000 คน/ปี บางรายเพลียมาก มีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัวมากจนต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือหยุดงาน และมีบางรายที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอกัเสบ ทำให้ต้องนอนโรงพยาบาล หรือบางรายถึงแก่ชีวิต ซึ่งมักเป็นผู้ป่วยสูงอายุแต่พบไม่บ่อย เสียชีวิตปีละไม่กี่รายจากจำนวนคนที่ป่วยหลายหมื่นคน สำหรับอาการของโรคไข้หวัดใหญ่จะคล้าย ๆ กับโรคไข้ชนิดอื่น ๆ คือ มีไข้ไอจาม มีน้ำมูกระคายคอแต่ถ้ามีไข้มากหรือปวดเมื่อยตามตัวมากต้องระวังว่า อาจเป็นไข้หวัดใหญ่ได้โดยโรคนี้พบได้ทุกวัยตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ แต่ถ้าเป็นกลุ่มผู้สูงอายุหรือมีโรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืดอยู่เดิม หรือมีโรคเรื้อรังที่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อย ๆ เช่น ไตวาย เบาหวาน โรคหัวใจและผู้ที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่น ได้ยากดภูมิคุ้มกันอยู่อาจมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อน คือ ปอดอักเสบติดเชื้อจากไข้หวัดใหญ่เองหรือจากเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้มาก

วิธีการรักษา
          โรคไข้หวัดใหญ่โดยทั่วไปจะหายเองภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือให้การรักษาตามอาการคือช่วงที่มีไข้ก็รับประทานยาลดไข้พาราเซตตามอล เช็ดตัวบ่อย ๆ พักัผ่อนมาก ๆ ไม่ตรากตรำทำงานหนัก ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ ถ้า้สูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า้อยู่ก็งด และรับประทานยาลดอาการต่าง ๆ เช่น ถ้าไอก็รับประทานยาแก้ไอ มีน้ำมูกก็รับประทานยาลดน้ำมูก เป็นต้น ในเด็กควรหลีกเลี่ยงการับประทานยาลดไข้แอสไพริน เนื่องจากอาจเกิดตับวายและสมองอักเสบได้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการมากเช่น หอบเหนื่อย ซึมโดยเฉพาะในผู้สูงอายุซึ่งอาจมีไข้อ่อนเพลียโดยอาการไม่ชัดแล้วมีอาการซึมสับสน ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลงอาจต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาการดังกล่าวจะพบเป็นส่วนน้อย สำหรับยาฆ่าเชื้อไข้หวัดใหญ่โดยเฉพาะมักไม่ต้องใช้เพราะโรคจะหายได้เอง จึงใช้เฉพาะในรายที่อาการรุนแรงเท่านั้น
ควรดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาวอย่างไร
การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะถ้าสุขภาพดีจะลดโอกาสการเจ็บป่วยลง โดยทั่วไปควร
ปฏิบัติดังนี้
1. รักษาสุขภาพใหแ้ข็งแรงอยู่เู่สมอโดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพียงพอและครบหมู่ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เ้พียงพอไม่ตรากตรำทำงานหนักจนเกินไป
2. อยู่ใู่นที่ที่มีอากาศถ่ายเท ไม่เข้า้ไปในที่แออัดโดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่
3. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ดื่มสุรา และยาเสพติดต่าง ๆ เนื่องจากอาจทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
4. หลีกเลี่ยงการอยู่ใู่กล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัดอยู่ และไม่ควรใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้า้เช็ดหน้า  แก้วน้ำ จาน ชามช้อน
5. ล้างมือบ่อย ๆ เนื่องจากอาจไปสัมผัสเชื้อโรคที่อยู่ตามสิ่งของต่าง ๆ เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู แก้วน้ำ เป็นต้น แล้วเผลอไปสัมผัส บริเวณหน้าได้โดยล้า้งมือด้วยสบู่ธรรมดา 15-20 วินาทีหรือใช้น้ำยาล้า้งมืออื่น ๆ
6. รักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ในที่ที่หนาวมากควรสวมหมวกเพื่อลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย
7. หากเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ควรมีผา้ปิดปากและจมูกเวลาไอจาม ไม่คลุกคลีกับผู้อื่นและหมั่นล้า้งมือบ่อย ๆ

8. สำหรับปัญหาเรื่องผิวหนัง เราควรให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ใส่เส้ือผ้า้หนา ๆ ถ้า้อากาศหนาวมากไม่อาบน้ำนาน ๆ ในที่ที่หนาวมาก อาจไม่ต้องอาบน้ วันละสองครั้งเหมือนฤดูอื่นหลังอาบน้ำ ควรทาโลชั่น หรือน้ำมันทาผิว หลังจากเช็ดตัวหมาด ๆ ในกรณีที่มีปัญหาริมฝีปากแตกควรทาดว้ยลิปสติกมันและไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อย

ที่มาบทความ: อ.นพ.วีระศักดิ์ เมืองไพศาล Faculty of MedicineSiriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
 รูปภาพ: www.beautyfullallday.com และ health.kapook.com

สอบถามเพิ่มเติมที่ร้านขายยา

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

โรคนิ้วล็อก

นิ้วล็อกเกิดขึ้นได้ แก้ไขได้ ป้องกันได้

                    นิ้วล็อก หมายถึง อาการที่งอข้อนิ้วมือ  แล้วเหยียดขึ้นเองไม่ได้เหมือนถูกล็อก  เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทั่วไปที่ต้องใช้มือจับสิ่งของ หรืออุปกรณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องบ่อยๆ โรคนี้ไม่มีอันตรายใดๆ   เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้

ชื่อภาษาไทย นิ้วล็อก, ปลอกหุ้มเอ็นนิ้วมืออักเสบ
ชื่อภาษาอังกฤษ Trigger finger, Digital flexer  tenosynvitis,  Stenosing tenosynvits
สาเหตุ
     เกิดจากการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นที่ใช้ในการงอข้อนิ้วมือ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณโคนนิ้วมือ ทำให้เส้นเอ็นหนาตัวขึ้น และติดขัดในการเคลื่อนไหวขณะเหยียดนิ้วมือ เมื่ออักเสบรุนแรงมากขึ้นจะเกิดปุ่มตรงเส้นเอ็น เวลางอนิ้วมือปุ่มจะอยู่นอกปลอกหุ้ม แต่ไม่สามารถเคลื่อนเข้าปลอกหุ้ม เวลาเหยียดนิ้วมือกลับไป  ทำให้เกิดอาการนิ้วล็อกอยู่ในท่างอ ต้องออกแรงช่วยใน การเหยียด จึงจะสามารถฝืนให้ปุ่มเคลื่อนที่ผ่านปลอกหุ้มเข้าไปได้

     การอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นนิ้วมือมักเกิดจากแรงกดหรือเสียดสีของเส้นเอ็นซ้ำซาก หรือใช้งานฝ่ามือมากเกินไป เช่น การใช้มือหยิบจับอุปกรณ์ในการทำงานบ้าน ทำสวน ขุดดิน  เล่นกีฬา เล่นดนตรี  เป็นต้น โรคนี้จึงพบบ่อยในกลุ่มแม่บ้าน เลขานุการที่พิมพ์ดีดบ่อยๆ ผู้ที่ชอบเล่นกีฬา (เช่น กอล์ฟ เทนนิส)  หรือเล่นดนตรี (เช่น ไวโอลิน) นอกจากนี้ยังพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อรูมาตอยด์  เบาหวาน ภาวะขาดไทรอยด์

อาการ
ระยะแรกมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ กำมือไม่ถนัดโดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน พอใช้มือไปสักพักหนึ่งก็จะกำมือได้ดีขึ้น บางคนจะสังเกตว่าเวลางอแล้วเหยียดนิ้วมือจะได้ยินเสียงดังกิ๊ก ต่อมาจะมีอาการนิ้วล็อกคือ เวลางอนิ้วมือแล้วเหยียดขึ้นเองไม่ได้ มักเกิดกับมือข้างถนัดที่ใช้งาน นิ้วที่เป็นบ่อยได้แก่ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วกลาง และนิ้วนาง อาจเป็นเพียงนิ้วเดียว หรือเป็นพร้อมกันหลายนิ้วก็ได้ และอาจเป็นที่มือข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้างก็ได้ อาการมักจะเป็นมากตอนเช้า

การแยกโรค
                อาการนิ้วงอ เหยียดขึ้นไม่ได้ อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น เส้นเอ็นนิ้วมือฉีกขาดจากการบาดเจ็บ (ซึ่งมักเกิดขึ้นฉับพลันหลังได้รับบาดเจ็บ) การดึงรั้งของพังผืด  (เช่น ผู้ที่มีบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกที่นิ้วมือ) ความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ (เช่น  Dupuytren's contracture) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม  ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไข
    

การวินิจฉัย
                 แพทย์มักจะวินิจฉัยจากอาการแสดงเป็นหลัก และการตรวจร่างกายอาจตรวจพบว่าเมื่อใช้มือกดตรงโคนนิ้วมือ ตรงปุ่มกระดูกจะรู้สึกเจ็บ และบางคนอาจคลำได้ปุ่มเส้นเอ็นที่อักเสบ

การดูแลตนเอง
หากมีอาการเจ็บตรงโคนนิ้วมือ เวลางอนิ้วมือแล้ว เหยียดนิ้วมีเสียงดังกิ๊ก หรือเวลางอนิ้วมือแล้วเหยียดขึ้น เองไม่ได้ ควรจะไปพบแพทย์เพื่อให้การตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด เมื่อพบว่าเป็นโรคนิ้วล็อก ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างจริงจัง และควรปฏิบัติดังนี้
  • ไม่ขยับนิ้วหรือดีดนิ้วที่เป็นนิ้วล็อกเล่น  อาจทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากขึ้นได้
  • ถ้ามีอาการข้อฝืด กำไม่ถนัดตอนเช้า ควรแช่น้ำอุ่นจัดๆ และบริหารโดยการขยับมือกำแบเบาๆ ในน้ำ จะทำให้นิ้วมือเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น
  • เมื่อต้องกำหรือจับสิ่งของแน่นๆ เช่น ไม้กอล์ฟ  ตะหลิวผัดกับข้าว ควรใช้ผ้าหรือฟองน้ำพันรอบๆ หรือใช้ถุงมือจับจะช่วยลดแรงกดหรือเสียดสีลง

การรักษา
แพทย์จะให้การรักษาตามความรุนแรงของโรค ในระยะแรก อาจให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์  เพื่อบรรเทาปวดและลดการอักเสบ การทำกายภาพ- บำบัด หรือฉีดยาสตีรอยด์เข้าไปที่เส้นเอ็นที่อักเสบ ซึ่งจะได้ผลดีเมื่อให้การรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการใหม่ๆ ถ้าไม่ได้ผล อาจต้องรักษาด้วยการใช้เครื่องมือสะกิดส่วนของพังผืดที่หนาตัวออกไป (โดยการฉีดยาชาเฉพาะที่ไม่ต้องเข้าห้องผ่าตัด จะมีแผลเป็นรูเล็กๆ ตรงตำแหน่งที่เจาะ) ถ้ายังไม่ได้ผลอาจต้องทำการผ่าตัดแก้ไข

ภาวะแทรกซ้อน
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด  นอกจากทำให้มีอาการเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด

การดำเนินโรค
ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็จะเป็นเรื้อรัง  และข้อฝืดมากขึ้น
ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะหายได้

การป้องกัน
หลีกเลี่ยงการใช้มือทำงานที่มีลักษณะทำให้เกิดแรงกดหรือเสียดสีกับเส้นเอ็นแบบซ้ำซาก
·         การหิ้วของหนักๆ เช่น ถุงหนักๆ  ถังแก๊ส  ถังน้ำ  กระเป๋า (ควรใช้รถเข็นลาก  หรือใส่ถุงมือ)
·         การซักผ้า  บิดผ้า (ควรใช้เครื่องซักผ้าแทน)
·         เวลากำหรือจับอุปกรณ์ต่างๆ ควรใส่ถุงมือลดแรงกดหรือเสียดสี เช่น ใส่ถุงมือเวลาจับไม้ตีกอล์ฟ  กรรไกรตัดกิ่งไม้ มีดตัดต้นไม่หรือดายหญ้า

ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อย  โดยเฉพาะในผู้ที่ทำงานที่ต้องหยิบจับสิ่งของหรืออุปกรณ์อย่างต่อเนื่องนานๆ  หรือใช้มือหิ้วของหนักๆ 

ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 344-008
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 344
เดือน/ปี: ธันวาคม 2550
คอลัมน์: สารานุกรมทันโรค
นักเขียนหมอชาวบ้าน: รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
เข้าถึงที่ http://www.doctor.or.th/article/detail/1133 โพสโดย somsak เมื่อ 1 ธันวาคม 2550 00:00 บทความสุขภาพน่ารู้ นิตสารออนไลน์ หมอชาวบ้าน    

นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ


สอบถามเพิ่มเติม

อีเมล์ Bangbpharma@gmail.com

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

"1 นาที สูงขึ้น 1 เซนติเมตร" เทคนิคดีๆ โดยแพทย์โรคกระดูกญี่ปุ่น

'1 นาที สูงขึ้น 1 เซนติเมตร' เทคนิคดีๆ จากแพทย์โรคกระดูกญี่ปุ่น

        ข่าวดีสำหรับคนที่คิดว่าตัวเอง 'เตี้ย' หรือใครที่ต้องการเพิ่มความสูง หากคุณคิดว่าวันนี้สูงไม่ทันแล้ว  ขอบอกว่ายังไม่สายจนเกินไป  สำหรับน้องๆ ที่ยังอยู่ในวัยเจริญเติบโต (สำหรับผู้ที่อายุไม่เกิน 25 ปี) ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่จะทำให้คุณสูงขึ้น หรือผู้ที่อยู่ในวัยที่หยุดการเจริญเติบโตแล้ว เราก็มีเคล็ดลับดีๆ ที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยที่อยากจะเพิ่มความสูงมาฝาก

         วิธีทําให้สูง วิธีเพิ่มความสูง
 เรารวมปัจจัยที่จะทำให้สูง สาเหตุ และวิธีที่จะสามารถเอาชนะพันธุกรรมมาให้คุณ นำไปใช้ ซึ่งสามารถสูงขึ้นได้อีกมากอย่างแน่นอน สำหรับวัยเจริญเติบโต และ เรารวมความรู้ด้่านต่างๆ เกี่ยวกับความสูง เช่น พันธุกรรม อาหารเพิ่มความสูง กีฬาที่ทำให้สูงและเตี้ย และฮอโมนที่ทำให้สูง

วิธีทำให้สูง มี 3 วิธีคือ
1. วิธีทำให้สูงสำหรับวัยเจริญเติบโต (สำหรับผู้ที่อายุไม่เกิน 25 ปี)
2. วิธีทำให้สูงสำหรับวัยหยุดเจริญเติบโต (วิธีการผ่าตัด)
3. วิธีทำให้สูงสำหรับทุกวัย (1 นาที สูงเพิ่มขึ้น 1 เซ็นติเมตร) เทคนิคจากแพทย์โรคกระดูกญี่ปุ่น เห็นผลจริง



วิธีทำให้สูงสำหรับวัยเจริญเติบโต (สำหรับผู้ที่อายุไม่เกิน 25 ปี)

        ข่าวดี พันธุกรรม ไม่ได้กำหนดให้คุณเตี้ยหรือสูงเสมอไป การที่คุณจะสูงหรือเตี้ย จะประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง

ปัจจัยที่ เกี่ยวกับความสูง วิธีทำให้สูง มีดังนี้

1. พันธุกรรม หรือ กรรมพันธุ์ เป็นสิ่งที่รับถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ว่ากันว่า ถ้าพ่อกับแม่มีทั้งยีนเตี้ยและสูง ลูกที่เกิดมาจะมีโอกาศเตี้ย 25 เปอร์เซ็น แต่ถ้าพ่อกับแม่เตี้ยทั้งคู่ก้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ลูกไม่สูงอย่างที่ต้องการ แต่ว่า ไม่ต้องกังวลไป สำหรับ พันธุกรรม ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกที่สามารถเอาชนะพันธุกรรมได้ ถึงไม่สูงมาก แต่คุณจะไม่เตี้ยอย่างแน่นอน

2. อาหารที่ทำให้สูง โภชนาการ คือปัจจัยสำคัญมาก อีกข้อหนึ่ง ที่คุณต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และยาวนาน ถ้าคุณอยากสูง หุ่นดี
เบสิค คือ คุณควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และควรเน้น อาหารเหล่านี้ ได้แก่

  • อาหารที่ช่วยเพิ่มความสูงอันดับแรกๆ คือ นม
    ดื่มนมวันละ 2 แก้ว หลังอาหารเช้า เพราะนมวัวไม่เพียงอุดมไปด้วย แคลเซียม(ช่วยสร้างกระดูก และมวลกระดูก) และสารอาหารต่างๆ เท่านั้น แต่ยังมีสารอาหารบางอย่างที่ทำให้สูงขึ้น เป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างมากสำหรับคนที่ต้องการสูงขึ้น 
  • งาดำ มีประโยชน์มากสำหรับคนต้องการที่จะสูง เพราะ
    1. งามีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ โดยเฉพาะแคลเซียมที่มีมากกว่านมวัวถึง 6 เท่า มีธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และทองแดง มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 กรดไขมันโอเมก้า 6 นอกจากนี้ ยังมีกรดไขมันไลโนเลอิค ที่ช่วยทำให้ผมดกดำ บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น

    2. ช่วยให้นอนหลับลึก(ทำให้หลั่งฮอร์โมนความสูงออกมามาก) เพราะมากด้วยวิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งดีต่อระบบประสาท ช่วยทำให้นอนหลับ ร่างกายกระฉับกระเฉง พร้อมกันนั้นยังมีสารบำรุงประสาทด้วย และวิตามินอีเป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยต้านมะเร็ง  จะช่วยปรับระบบประสาทและระดับฮอร์โมน ให้เข้าสู่สภาวะสมดุล ช่วยคลายเครียดทำให้จิตใจสงบ 
       และอาหารที่มีแร่ธาตุมีผลต่อการจริญเติบโตของกระดูกนอกจากแคลเซียมแล้ว มีการทดลองบ่งชี้ว่า ยังมีแร่ธาตุอีก 6 ชนิด ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและการสร้างกระดูกให้แข็งแรงในช่วงวัยรุ่น
  1. ทองแดง   จำเป็นสำหรับการเสริมสร้างกระดูก
  2. แมงกานีส   มีบทบาทในขบวนการซ่อมแซมกระดูก
  3. แมกนีเซียม   จำเป็นในการทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง
  4. โบรอน   ช่วยควบคุมการใช้ประโยชน์จากแคลเซียมของร่างกาย
  5. วิตามินดี   มีหน้าที่ในการช่วยดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เข้าสู่ร่างกาย
  6. สังกะสี   จำเป็นสำหรับการพัฒนาของกระดูก 
3. เล่นกีฬา ออกกำลังกาย คือปัจจัยที่สำคัญมากอีกข้อหนึ่ง
คำถาม ทำใมถึงต้องออกกำลังกาย เล่นกีฬา ออกกำลังกายทำใมช่วยให้สูงขึ้น
คำตอบ  เพราะ 

  • 1.ถ้าออกกำลังกาย ทำให้ได้ถึงพีค (เหงื่อออกเต็มตัว ชีพจรเต้นแรงตั้งแต่ร้อยกว่าครั้งต่อนาทีขึ้นไป หัวใจเต้นแรง) จะช่วยกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนได้เช่นกัน ซึ่งจะไปช่วยกระตุ้นให้เซลล์ที่สร้างกระดูกดึงแคลเซียมจากเลือดมาใช้ทำให้ กระดูกแข็งแรง จึงทำให้สูงขึ้น
  • 2. การออกกำลังกาย เล่นกีฬา เวลา 30 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายหลั่งสารความสุข หรือ เอนโดฟิน (จะช่วยทำให้ ผ่อนคลาย นอนหลับสบาย ทำให้ต่อมใต้สมอง หลั่ง โกรทฮอร์โมนได้ดีขึ้น)
  • 3. เล่นกีฬา ออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และจะทำให้ไปกระตุ้นการสร้างกระดูก

คำถาม แล้วเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายอะไร ทำให้สูงขึ้นเยอะๆ
คำตอบ  กีฬาอะไรก็ได้ แต่ที่ดีควรเป็นกีฬาที่มีการกระโดด และการออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนักที่เท้า เช่น กระโดดเชือก  บาสเก็ต บอล  วอลเล่บอล  วิ่ง ฟุตบอล  แบดบินตัน และ แอโรบิก เป็นต้น  การออกกำลังกายประเภทนี้ จะเป็นการส่งแรงกระตุ้นไปที่แผ่นความเจริญเติบโตของกระดูก  ซึ่งจะมีอยู่ บริเวณปลายกระดูกแต่ละท่อน  จึงช่วยทำให้ในช่วงที่ร่างกายยังมีการเจริญเติบโตอยู่นี้ สูงขึ้นได้เร็วกว่าปกติ

4. การนอนหลับ (ลึก) เชื่อมโยงกับ ฮอร์โมน ตัดสินว่าคุณจะสูงหรือเตี้ย แต่เรามีวิธีแก้
ฮอร์โมนที่มีความสำคัญต่อความสูงของคนเรามีหลายชนิด ดังนี้

  • 1. โกรธฮอร์โมน (Growth Hormone) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตออกมาจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าจะหลั่งออกมาอย่างเต็มที่ใน ขณะที่เราหลับสนิท (หลับลึก) การนอนควรนอนหลับให้เพียงพอในช่วงกลางคืน เพราะ Growth Hormone จะหลั่งออกมามากขณะนอนหลับ และเริ่มหลั่งตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ(ช่วง3ทุ่มถึงตี3 เป็นช่วงที่ Growth hormone หลั่งออกมามาก)  จึงไม่ควรนอนดึกมีผลวิจัยออกมาแล้วว่านอนหลับไม่เพียงพอ ส่งผลต่อความสูง โกรธฮอร์โมนมีหน้าที่กระตุ้นการทำงานของกระดูกทำให้กระดูกขยายตัวในแนวยาว ส่งผลให้เราสูงขึ้น ซึ่งเด็กที่ขาดฮอร์โมนชนิดนี้จะมีรูปร่างเตี้ยแต่สมส่วนฮอร์โมนจากต่อม
  • 2. ไทรอยด์ (Thyroid Gland)โดยเฉพาะฮอร์โมนที่ชื่อไทร็อกซิน (Thyroxin)ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นให้กระดูกมีการพัฒนาไปตามปกติ หากเด็กขาดไทร็อกซินจะทำให้มีรูปร่างเตี้ยแคระ ไม่สมส่วน
  • 3. ฮอร์โมนเพศ ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) และฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen)ในกรณีที่เด็กหญิงชายบางคน มีการหลั่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้เร็วกว่าปกติ (เป็นหนุ่มเป็นสาวเร็ว)จะมีผลให้ปลายกระดูกปิดเร็วขึ้นและค่อยๆ หยุดการเจริญเติบโตในที่สุด ทั้งนี้เด็กหญิงที่มีประจำเดือนเร็ว มีแนวโน้มที่จะโตเป็นผู้หญิงที่ไม่สูงและพบว่าหลังการมีประจำเดือนเกิน ๓ ปีไปแล้ว ผู้หญิงจะหมดโอกาสสูง เช่นเดียวกับเด็กชายที่ความสูงจะไม่เพิ่มขึ้นหลังจากเสียงแตกเกิน ๓ ปี ความเจ็บป่วย โรคประจำตัวเรื้อรังบางอย่าง เช่น โรคไต โรคปอด โรคหัวใจ โรคกระดูกคด เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความสูงของเราหยุดชะงัก
          สำหรับคนที่สงสัยว่าฮอร์โมนผิดปกติ ท่านสามารถไปตรวจที่ รพ.รามา หรือ โรงบาลทั่วไป แผนกหมอกระดูก หมอจะเอ๊กซเรย์ดูปลายกระดูกว่าปลายกระดูกของคุณปิดหรือยัง ถ้ายังแสดงว่าคุณยังสูงได้อีก และอาจจะตรวจเลือดหาฮอร์โมน ว่าคุณมีภาวะพร่องฮอร์โมนความสูงหรือไม่ ถ้าพร่อง หรือมีน้อย หมอก้อจะจัดยาบำรุงให้ บางคนฉีดฮอร์โมนเสริม 1 เข็มต่อเดือน เพิ่มให้ หรืออาจจะให้ยามากิน



วิธีทำให้สูงสำหรับวัยหยุดเจริญเติบโต (วิธีการผ่าตัด) 
            ตามที่ปรากฏเป็นข่าว นพ.พรเอนก ตาดทอง ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การผ่าตัดเพิ่มความสูง (Height Operation) ไม่ใช่การค้นพบใหม่หรือเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ปี แต่เมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว มีการค้นพบว่าถ้ามีการแยกกระดูกออกจากกันอย่างถูกวิธีและให้กระดูกนั้นห่างออกจากกันในอัตราความเร็ววันละ 1 มิลลิเมตร ร่างกายจะสามารถสร้างกระดูกใหม่ขึ้นมาตรงบริเวณช่องว่างนั้นได้ โดยใช้เครื่องมือตรึงกระดูก ที่เรียกว่า Ilizarov กับบุคคลที่มีปัญหาเรื่องส่วนสูงซึ่งถือเป็นการบริการศัลยกรรมความงามด้านหนึ่งศัลยแพทย์กระดูกและข้อผู้นี้ บอกด้วยว่า การรักษาเป็นการผ่าตัดที่ทำให้ผู้ป่วยสูงขึ้นอย่างช้าๆ โดยจะต้องใช้เวลาในการยืดกระดูกโดยเฉลี่ยประมาณ 1 เดือนต่อ 1 เซนติเมตร 5 เดือนก็จะได้ความสูงเท่ากับ 5 เซนติเมตร

            ซึ่งข้อจำกัดในการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนของแต่ละคน โดยไม่ได้อยู่ที่ปริมาณความสูง อายุ หรือเพศ เช่น ยืนแค่ไหนแล้วดูดีสมส่วน ทั้งนี้ ผู้ทำการรักษาต้องไม่มีปัญหาด้านสุขภาพ เช่น โรคเรื้อรัง โรคเบาหวานสำหรับผู้ที่ทำการรักษามี 4 กลุ่ม คือ กลุ่มคนที่มีปมด้อย กลุ่มคนที่ต้องการเข้าสถานศึกษาที่มีการกำหนดความสูงขั้นต่ำ กลุ่มนักกีฬา และกลุ่มสุดท้ายกลุ่มที่ต้องการเสริมบุคลิกภาพความงามส่วนการผ่าตัดนั้น แพทย์จะใช้วิธีการตัดเนื้อกระดูกออกเหลือเยื่อหุ้มกระดูกซึ่งกระดูกจะไม่ถูกทำลาย แล้วยึดด้วยเส้นลวด 4 เส้น ถ่างกระดูกออกประมาณ 1 มิลลิเมตร (มม.) ด้วยเครื่องยึดตรึงกระดูก (llizarov)โดยใช้เวลาในการผ่าตัดเพียงชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น หลังจากนั้นต้องพักอยู่ที่โรงพยาบาล ทำกายภาพบำบัดรอให้กระดูกเชื่อมติดกันสามารถทำได้ทีละข้างหรือพร้อมกันทั้งสองข้าง พร้อมกับยืนยันว่าไม่มีผลข้างเคียง การผ่าตัดมีความปลอดภัยสูงขณะที่ค่าใช้จ่าย ค่ารักษา รวมทั้งค่าอุปกรณ์ ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้รับการรักษา เช่น ถ้าต้องการเพิ่มความสูงน้อยกว่า 5 เซนติเมตร ประมาณ 5 แสนบาท และถ้ามากกว่า 5 เซนติเมตร ค่าใช้จ่ายค่ารักษารวมทั้งค่าอุปกรณ์อยู่ที่ ประมาณ 800,000 บาทจากข้อมูลเบื้องต้น

วิธีทำให้สูงสำหรับทุกวัย (1 นาที สูงเพิ่มขึ้น 1 เซ็นติเมตร) เทคนิคจากแพทย์โรคกระดูกญี่ปุ่น เห็นผลจริง

เทคนิคง่ายๆ แต่เห็นผลจริง หยิกแก้มได้ไม่ใช่ฝัน คุณก็ทำได้ (แต่ ต้องทำทุกวัน)

1. นั่งคุกเข่า


2. โน้มตัวไปด้านหลัง


3. นอนราบและยกแขนไปด้านบนตามภาพ และค้างไว้ในท่านี้ 1 นาที


ผลสำหรับผู้ที่ทำท่านี้ เป็นวิธีที่ทำให้สูงขึ้น


      สรุป จะช่วยให้กระดูกที่งอหรือคดไปตามกาลเวลา ให้กลับมาอยู่ในแนวตรง ทำแค่วันละ 1นาที กระดูก สันหลังจะกลับมาอยู่ในแนวตรง ผล คือเราก็จะได้ความสูงตามความสูงที่เป็นจริงของร่างกายของเรา กลับมา


เป็นไงกันบ้างสำหรับ วิธีเพิ่มความสูงดังที่กล่าวมา ถ้าชอบสามารถบอกต่อได้ด้านล่างค่ะ

วิธีทําให้สูง วิธีเพิ่มความสูง และเทคนิคลับเพิ่มความสูงภายใน 1 นาที
สอบถามเพิ่มเติม

อีเมล์ Bangbpharma@gmail.com

ขอขอบคุณข้อมูลทั้งหมด จาก http://www.rakjung.com/healthy-no81.html
                               ภาพ  จาก  http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9570000083966

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

โทษของไขมันเกาะในร่างกาย+สูตรลดหน้าท้องล้างไส้

โทษของไขมันเกาะในร่างกาย+สูตรลดหน้าท้องล้างไส้
ใครที่สะสมไขมันไว้ในร่างกาย สะสมไว้ไม่ดีนะคะเลยมาแชร์ข้อมูลโทษของไขมันที่เกาะในร่างกายส่งผลอะไรกันมั่ง
โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร หากสะสมมาจะทำให้เกิดข้อบกพร่องและเป็นผลทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น
1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย
2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศีรษะ
3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว
4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย
5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด
6. ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ ทำให้จามในตอนเช้า
7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก ฉะนั้นการดื่มตามสูตรนี้ นอกจากช่วยลดหน้าท้อง ยังส่งผลให้อาการป่วยทั้ง 7 ประการนี้หายไป ด้วย
มาแชร์สูตรล้างลำไส้กระทุ้งไขมันเกาะและยังช่วย ลดไขมันหน้าท้องได้อีก ฉะนั้นเรามาป้องกันการเกิดไขมันเกาะในผนังลำไส้และก่อโรคอ้วน
หน้าท้องเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่จะบ่งบอกถึงว่า ตอนนี้สภาพร่างกายคุณเป็นอย่างไร นั้นก็หมายถึงอาหารที่คุณกินเข้าไปมันเข้ามันสะสมจนทำให้คุณมีไขมันหน้าท้องมาก และจะทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนไปในที่สุด และหน้าท้องเมื่อมีไขมันสะสมแล้วก็ลดยากเสียด้วยพอ ๆ กับไขมันที่สะโพกนั่นแหละ เราจึงมีวิธีทำสูตรนี้มาแนะให้ทำกันค่ะ
สูตรลดหน้าท้องนี้จะช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อยๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่างๆ ได้
นมสดรสจืด หรือ นมสดไขมันต่ำ 1 กล่อง ขนาด 250 ml
โยเกิร์ตรสจืด หรือ โยเกิร์ตรไขมันต่ำ ครึ่งถ้วย
น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ(ถ้าไม่อยากให้หวานมาก ก็ลดเหลือ 3/4 ช้อนค่ะ)
มะนาวสด 1 ลูก
น้ำผึ้ง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต
นำส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากันชิมรสตามใจชอบ และต้องดื่มตอนเช้า มื้อเดียวก่อนอาหาร มื้ออื่นไม่เห็นผล ควรวางทิ้งไว้ 15-30 นาที เพื่อให้จุลินทรีย์ทำงาน และควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว จะเห็นผลดียิ่งขึ้น
สรรพคุณไม่ใช่ยาลดน้ำหนักโดยตรง แต่จะปรับธาตุ ล้างพิษในลำไส้ ล้างไขมัน กินวันแรกๆ จะ เห็นเลยว่าอุจจาระจะเป็นสีดำ และไล่ลมในกระเพาะดีมาก ระยะต่อมา เมื่อลำไส้และกระเพาะอาหารในร่างกายปรับตัวได้กับอาหารที่กินแล้วจะเข้าสู่ ภาวะปกติ แต่ต่อมาจะมีความรู้สึกว่าหน้าท้องยุบลงเนื่องจากจุลินทรีย์ในโยเกิร์ต ทำให้ลำใส้ทำงานได้ดีไม่ทำให้ลำใส้บวมหน้าท้องป่องควรกินทุกเช้าติดต่อกันทุกวันนะค่ะ

ที่มา
เนื้อหาและภาพ จาก
http://men.sanook.com/2017/ เรื่อง โทษของไขมันเกาะในร่างกาย+สูตรลดหน้าท้องล้างไส้ธรรมชาติบำบัด อ.สุทธิวัสน์ เครดิต คุณสาคู
Facebook คณะการแพทย์แผนตะวันออก ม.รังสิต

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

“แพ้” ทางผิวหนัง ผื่นคันและลมพิษ


อาการ “แพ้” ทางผิวหนัง ผื่นคันและลมพิษ

  ถ้าถามว่าโรค “แพ้” เป็นอย่างไร ทำไมถึงแพ้ มีกลไกเช่นไร ก็ต้องบอกว่าโรค “แพ้” มีหลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่โรคแพ้ทางผิวหนังมักจะเห็นเป็น ผื่นคัน มีตุ่มน้ำ จุดแดงเล็กๆ ปรากฏขึ้นตามตัว บางครั้งจะเห็นลักษณะเป็นหนังแห้งกว่าปกติ เป็นผุย เป็นสะเก็ด คัน มีรอยเกา
      ถ้าถามว่าทำไมแพ้ ก็บอกง่ายๆ ว่า เพราะไม่มีภูมิคุ้มกัน ไม่มีแรงต้านทาน คนทั่วไปที่เขาไม่แพ้ เพราะเขามีภูมิคุ้มกัน มีแรงต้านทาน คนไข้บางคนมักถามว่า โรคนี้คือโรคน้ำเหลืองเสียใช่ไหม ซึ่งก็ตอบได้ว่า จะว่าเช่นนั้นเพื่อให้เข้าใจง่ายก็พอได้เหมือนกัน หมอเคยถามคนไข้ว่าที่ว่าน้ำเหลืองเสีย หมายความว่าอย่างไร คนไข้บอกว่า ลูกผมน้ำเหลืองเสียเพราะถูกยุงกัดนิดเดียว แต่เป็นตุ่มคันไปทั้งขา ลูกคนอื่นเขาถูกยุงกัดเป็นกอง เห็นเป็นแค่จุดแดง หมอที่รักษาบอกว่า ถ้าเช่นนั้นจะว่าน้ำเหลืองเสียก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าพูดว่าแพ้น้ำลายยุง ก็จะชัดที่สุด
      คนที่เป็นโรคแพ้นั้น อาจจะมีสื่อที่จะทำให้เกิดการแพ้ได้ตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย และพ่อแม่ คือ เป็นกรรมพันธุ์ ในคนพวกนี้ จะพบว่ามีญาติพี่น้องเคยเป็น หรือเป็นหวัดจามทั้งปี หรือโพรงจมูกอักเสบบ่อยๆ หรือเป็นหืด ลมพิษ ปากบวมตาบวมเก่ง อาการทางผิวหนังของคนพวกนี้ จะเห็นเป็นผื่นแดง ผิวหนังแห้ง ชอบเกา ถ้าเป็นเด็กจะซนอยู่ไม่สุก เราเรียกคนพวกนี้ว่าเป็นโรค “อะโทบีค” สาเหตุที่แพ้เก่ง ก็เพราะมีโปรตีนชนิดภูมิแพ้อยู่ในตัวมากไปหน่อย เรียกว่า “อมมูนโน โกลบลูลิน อี” หรือย่อว่า“ไอ.จี.อี.”
      เวลาถูกต้องกับสิ่งที่แพ้เข้า เช่น อาหาร ละอองเกสร ฝุ่น ก็จะมีปฏิกิริยาระหว่างสารเหล่านี้กับ ไอ.จี.อี. ทำให้เกิดเป็นโรคแพ้ผื่นคัน หวัดจามทั้งปี หรือไข้ละอองฟาง หืด หรือลมพิษ ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ นายวิทย์ ภรรยาชื่อคุณนิด มีลูกคนสุดท้องอายุ 4 ขวบ ชื่อลูกนก แกซนเหมือนบรรพบุรุษมนุษย์ เป็นโรคอะโทปิคเหมือนกัน พอพามาพบหมอ คุณแม่บรรยายความรำคาญต่ออาการผื่นคันของลูกคนนี้รักษาไม่หาย รักษาแล้วหลายหมอ ทายาก็หลายอย่างแล้ว และอะไรต่างๆ ร้อยแปด และลูกซนมากถามอีกนิดว่า เด็กฉลาดไหม คุณแม่ก็เปลี่ยนเรื่องเสียใหม่ว่า เด็กเรียนเก่ง แสนรู้ คือ คุณแม่จะพูดได้ทุกเรื่องเกี่ยวกับลูกคนนี้ไม่รู้จบ
      ถามประวัติทางบ้าน พบว่า พี่สาวคนหนึ่งก็เป็นผื่นคัน ระหว่างซักถามนี้ให้ปล่อยเด็ก จะเห็นว่า เด็กซุกซนไม่อยู่กับที่และไม่กลัวคน เด็กพวกนี้เวลาเล่นถูกฝุ่นก็จะคัน อากาศร้อนไปหน่อย เย็นไปหน่อยเหงื่อออกก็คัน กินอาหารผิดก็คัน อาบน้ำบ่อยใช้สบู่แรงๆ หรือสบู่ยาก็คัน ใส่เสื้อผ้าที่เป็นขนก็คัน ถูกแดดจัดก็คัน เด็กหญิงลูกนกเวลาคันที่ศีรษะก็หยิบหวีของคุณแม่มาหวีที่ศีรษะอย่างแรงจนดังแกรกๆ เวลาคันตามตัวก็เกาอย่างแรงจนเนื้อตัวเป็นรอย เพราะฉะนั้นจึงตัดเล็บให้สั้นเอาไว้ เมื่อนำเด็กมาตรวจก็พบว่า ผิวหนังแห้งกว่าเด็กปกติ ตามหน้า แขน ขา ข้อพับ มีรอยผื่นแดง และจุดแดง ลักษณะของผื่นคันกระจาย อยู่เป็นหย่อมๆ หากเจาะเลือดตรวจดู อาจพบว่า มีเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่า อีโอซิโนฟิล อยู่มากกว่าปกติ
ในการรักษาทั่วไปมี 2 อย่าง
คือ แนะนำและการใช้ยา ต้องแนะนำให้หลีกเลี่ยง และสังเกตสาเหตุของอาการแพ้ และอาการคัน เช่น ถ้าคันหลังอาบน้ำก็ไม่ควรอาบน้ำบ่อย บางคนแพ้ฝุ่นก็ไม่ควรถูกฝุ่น ไม่ควรถูกแดดร้อน หรืออากาศเย็นมาก เสื้อผ้าที่เป็นขนไม่ควรใช้ แป้งฝุ่นต่างๆ ควรงดไว้ก่อน และหากเด็กยังไม่เคยปลูกฝี ก็ควรจะเว้นไว้ จนกว่าหมอเด็กจะเห็นสมควร สบู่ควรใช้สบู่ครีม สบู่อ่อนที่อเมริกามีสบู่ทำขาย บอกไว้ว่าสำหรับ“อะโทปิค สคิน” (คนขี้แพ้ หนังเปราะ) โดยเฉพาะ ยากินก็ให้กินยาแก้คันแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน ขององค์การเภสัชกรรม (ราคาเม็ดละ 10 สตางค์) ยาทา ก็ใช้พวกสเตอรอยด์ เช่น ครีมแพร็ดนิโซโลน (ราคาหลอดละ 5 บาท) หรือ ครีมเบตาเมธาโซน (ราคาหลอดละ 11 บาท) เวลาซื้อควรระวัง องค์การเภสัชกรรมทำยาพวกนี้ออกมา 2 อย่าง ซึ่งอย่างหนึ่งมีคำว่า “เอ็น” อยู่ด้วย อย่าซื้อมาใช้เพราะทำให้แพ้ได้ ส่วนยาครีมผสมสเตอรอยด์ กับยาแก้คันนั้นก็ใช้ได้ เช่น ยูแรกซ์วิท ไฮโดรคอร์ดีโซน เป็นต้น
หลังจากนี้ผู้ปกครองหรือคุณแม่จะตั้งคำถามว่า ลูกเป็นเพราะอะไร เมื่อไรจะหาย โดยมากควรจะหลีกเลี่ยงการอธิบาย เรื่องภูมิแพ้ ภูมิคุ้มกันแอนติเจน แอนติบอดี้ และกรรมพันธุ์ เพราะคุณแม่เป็นกังวลอยู่แล้ว จะปวดหัวมากขึ้น ควรอธิบายว่าเด็กคนนี้ฉลาด จึงซน และเพราะความฉลาด เลยมีการแสดงออกทางผิวหนัง ผมเคยอธิบาย เรื่องกรรมพันธุ์ ไอ.จี.อี. และการแพ้ให้คุณแม่ของลูกนก ซึ่งเป็นโรคอะไรไม่รู้เรื่อง และเท่านั้นก็ได้เรื่อง คุณแม่เขาไม่ยอมแพ้ เพราะแม้แต่คุณวิทย์ซึ่งเคยเป็นนักมวยแชมเปี้ยน และเดี๋ยวนี้เป็นทนายความชนะมาทั่วประเทศ คุณนิดเขายังปราบเสียอยู่หมัด หงอยเหงาอยู่ใต้ข้อศอกตลอดมา คุณนิดแอบสืบสวนญาติพี่น้องของตัวเองจนหมด แน่ใจว่าไม่มีใครเคยเป็นโรคภูมิแพ้ ส่วนความฉลาดของลูกนั้นเป็นเพราะฉัน ซึ่งคุณวิทย์ก็ต้องยอมรับแต่โดยดี
ลมพิษ
ก็เกี่ยวกับการแพ้เหมือนกัน โดยมากเกี่ยวกับการสูดดม กินอาหารหรือฉีดยาที่เป็นสาเหตุเข้าไป พวกที่เป็นลมพิษแล้วมีอาการบวมที่ตา ปากควรระวังเยื่อบุผิวของทางผ่านอากาศ เข้าสู่ปอด อาจจะบวมด้วย เกิดหายใจลำบาก หายใจขัดได้
ลักษณะของลมพิษ คือ เป็นวงแดง รูปร่างต่างๆ กันเหมือนเอาลิปสติกผู้หญิงมาขีดวงไว้บนผิวหนังเป็นกลมบ้าง รีบ้าง รูปหยักบ้าง คล้ายวาดแผนที่ไว้บนตัว เนื้อภายในวงจะนูนเล็กน้อย และมีสีซีดกว่าขอบ อาการสำคัญคือ คันมาก คนไข้มักจะบอกว่า พอเกาตรงไหน ก็เป็นผื่นแดงขึ้นมาตรงนั้น ผื่นคันพวกลมพิษนี้มักจะเกิดอยู่ 3-4 ชั่วโมงและหายไปเอง หรือเกิดขึ้นใหม่ได้อีก จะเป็นๆ หายๆ อยู่ในระยะไม่เกิน 2 เดือน เรียกว่า “ลมพิษชนิดเฉียบพลัน” ถ้าเป็นอยู่นานกว่านี้เรียกว่า “ลมพิษชนิดเรื้อรัง” ลมพิษชนิดเรื้อรังเป็นอยู่ได้เป็นปีๆ
สาเหตุของลมพิษ มีมากมายหลายชนิด กลไกที่ทำให้เกิดเป็นผื่นขึ้นมา จึงเป็นเรื่องซับซ้อนอธิบายกันว่า เมื่อสิ่งใดที่ทำให้เกิดลมพิษได้มาถูกผิวหนัง หรือถูกนำเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นโดยการกิน การดมสูดเข้าไป หรือฉีดเข้าไป (ไม่จำเป็นต้องฉีดยา) ตัวอย่างเช่น มดกัด ในคนที่แพ้ก็จะเกิดปฏิกิริยาขึ้นในร่างกาย เกิดการขับสาร ชื่อ ฮีสตามีน (สารแพ้) ออกมาจากเซลล์ในชั้นใต้ผิวหนัง ทำให้ผนังเส้นเลือดพองขยายตัวออก น้ำเหลืองและโปรตีนหลุดออกมา เกิดรอยนูนแดง และคันขึ้นบนผิวหนัง ว่ากันว่า สารเคมีอีกบางชนิด เช่น “บราดิไคนิน” “โปรสแกลนดิน” และ “เสโรโตมิน” ก็มีส่วนร่วมในปฏิกิริยานี้เช่นกัน
สาเหตุของลมพิษก็มีหลายอย่าง เช่น พวกทำให้เกิดการแพ้ คือ อาหาร ยา ซีรั่ม พิษสัตว์ ขนแมว ขนหมา อาหารทะเล ไข่ ส้ม ขนมจีน เป็นต้น สิ่งแวดล้อมทั่วร่างกายก็ทำให้เกิดลมพิษได้ เช่น แดด ความร้อน ความเย็น น้ำ น้ำแข็ง การกด การยกน้ำหนัก เป็นต้น โรคในร่างกายก็ทำให้เกิดลมพิษได้ เช่น มะเร็ง ฟันผุ หูเป็นน้ำหนวก พยาธิลำไส้ แม้แต่ไม่เป็นอะไรเกิดหงุดหงิดคิดมาก ก็เป็นลมพิษได้เหมือนกัน
การรักษาลมพิษเบื้องต้นมี 2 ประการ คือ บำบัดอาการ และบำบัดสาเหตุ การบำบัดอาการก็ให้กินยาพวกแอนตี้-ฮีสตามีน (ยาแก้แพ้) และใช้ยาทาแก้คันดังกล่าวข้างต้น การบำบัดสาเหตุ เป็นกรรมวิธีอันซับซ้อนและกินเวลา อาจทำได้จากการซักประวัติ การสังเกต การทดสอบทางผิวหนัง เป็นต้น
การเป็นลมพิษบางครั้งก็มีประโยชน์ สุภาพสตรีคนหนึ่ง อายุ 45 ปี มีลูกแล้ว 3 คน หลังจากคลอดลูกคนสุดท้อง ต้องพักรักษาตัวอยู่นาน สามีก็เริ่มออกเที่ยว กลับบ้านดึก ในระยะต่อมา หากดึกแล้วสามีไม่กลับบ้าน แกสงสัยว่าสามีไปเที่ยวผู้หญิง ก็จะเกิดหืดหอบเป็นลมพิษ โดยจะให้กินยาอะไรก็ไม่หาย แต่ถ้าสามีกลับมาให้กินยา ทายาเอง และปลอบใจ อาการก็จะหายไป สามีเลยตัดใจเลิกเที่ยว อาการโรคลมพิษก็หายไป เป็นประโยชน์ต่อครอบครัวดีเหมือนกัน
ยาก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนัง
อาการแพ้จากยา ไม่ใช่ฤทธิ์หรือสรรพคุณของยาโดยตรง แต่เป็นปฏิกิริยาเชิงซ้อนที่ร่างกายโต้ตอบออกมา หรือกลไกอย่างอื่น เช่น กรรมพันธุ์ ยาที่มักจะแพ้กันบ่อยๆ ก็คือ เพนนิซิลลิน และแอสไพริน ลักษณะของการแพ้ยากินมีหลายอย่าง เช่น เป็นผื่น เป็นจุด ลมพิษ คันเป็นวง และอื่นๆ อีกมาก จนมีผู้แนะนำว่าหากมีคนเป็นโรคผิวหนังมาหาก็ให้นึกถึงโรค 3 โรคที่แสดงอาการได้หลายอย่าง ก่อนอื่นนั่นคือ การแพ้ยาโรคซิฟิลิส และโรคแพ้จากการสัมผัส
โรคแพ้จากการสัมผัส (Contact dermatitis) หมายถึง อาการผื่นคันทางผิวหนังที่เกิดขึ้น หลังจากได้สัมผัสถูกต้องกับสิ่งของภายนอกร่างกาย และวัตถุสิ่งนั้นเป็นตัวกระตุ้น ทำให้เกิดอาการทางผิวหนังขึ้น ทั้งนี้ไมได้เกิดขึ้นกับคนทั่วๆ ไป แต่เกิดกับคนบางคน ที่ไม่มีภูมิต้านทานจากสารชนิดนั้นเท่านั้น
ต้องอธิบายสักหน่อยว่า โรคแพ้จากการสัมผัสนี้ ไม่มีกลไกเกี่ยวข้องกับเรื่องกรรมพันธุ์ถ่ายทอดให้ใครไม่ได้ เป็นกลไกตามธรรมชาติที่ว่าการสัมผัสนั้นจะต้องเป็นมาแล้วระยะหนึ่ง หมายความว่า ไม่ใช่พอถูกเข้าครั้งแรกครั้งเดียวแล้วก็แพ้ อาจจะถูกมาก่อนเป็นเวลาหลายๆ วัน เป็นเดือนหรือเป็นปีก็ได้ แล้วจึงเกิดอาการ นี่แสดงว่า ต้องมีการสัมผัสถูกต้องมาอย่างน้อย 2 ครั้ง การถูกต้องสัมผัสครั้งแรกๆ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต่อต้านขึ้นมา เช่น พอถูกโลหะเงิน เงินก็ขับผ่านผิวหนังไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต่อต้าน ระยะนี้เรียกว่า “ระยะฟัก” ซึ่งอาจจะนานเป็นวันเป็นเดือน เป็นปี ซึ่งขึ้นอยู่กับส่วนประกอบหลายอย่าง หลังจากนั้น ถ้าถูกเงินเข้าอีกครั้งหนึ่ง จึงจะเกิดปฏิกิริยาขึ้น เรียกระยะแสดงตัว และหลังจากนี้หากถูกเงินเข้าอีก ก็จะขึ้นเป็นผื่นคันเกือบทุกครั้ง เช่น
ปกติแม่บ้านทั่วๆ ไป มักมีงานประจำ คือ ซักผ้า ทำความสะอาดของใช้ในบ้าน ในการนี้มักจะใช้ผงซักฟอกช่วยในการทำความสะอาดบุคคลทั่วๆ ไป ทำงานบ้านเช่นนี้ได้เป็นปกติ แต่ก็มีแม่บ้านบางคนหลังจากทำงานประจำนี้อยู่ได้สักระยะหนึ่ง ก็เกิดผื่นแดง เป็นตุ่ม กับอาจมีลักษณะผิวหนังเปื่อยที่มือ แม่บ้านเหล่านี้เป็นพวกที่แพ้ผงซักฟอก คือเกิดมีอาการทางผิวหนังขึ้นมา ซึ่งโดยภาวะปกติทั่วไปเขาไม่เป็นกัน
ปกติทุกคนมักจะผูกนาฬิกาที่ข้อมือ โดยใช้สายนาฬิกาทำด้วยหนังหรือวัตถุโลหะ บุคคลทั่วๆ ไปผูกนาฬิกาได้โดยปกติ แต่ก็มีบางคนที่ผูกนาฬิกา ก็เกิดผื่นแดงคันขึ้นที่ข้อมือ บุคคลพวกนี้เป็นพวกแพ้ส่วนประกอบของสายนาฬิกา ถ้าใช้สายโลหะ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นสายหนัง หากใช้สายหนัง ก็ต้องเปลี่ยนเป็นสายโลหะ
ในสบู่ที่มีสารประกอบ พวกฮาโลเจของซาลิซัยลานิไลด์ สบู่พวกนี้มีขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด ซึ่งก็มีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก และไม่มีอาการอะไร แต่มีบางคนใช้แล้วหลังจากตากแดดก็เกิดผื่นคันตามส่วนที่ถูกแดด เช่น ตามบริเวณใบหน้า คอ แขน คนที่แพ้สบู่ชนิดใหม่ที่ไม่มีสารประกอบชนิดดังกล่าว
ยาเพนนิซิลลิน และ ยาแก้ปวดมีจำหน่ายอยู่ทั่วๆ ไป และใช้กันมากไม่มีใครเป็นอะไร แต่บางคน พอกินเพนนิซิลลินก็อาจเกิดลมพิษได้ บางคนกินยาแก้ปวด ก็เกิดผื่นคันเป็นวงแดงขึ้น พวกนี้เป็นพวกแพ้ยาเพนนิซิลลิน และยาแก้ปวด
ควรจะสังเกตดังนี้ว่า ภูมิต่อต้านที่เกิดขึ้น เป็นผลเฉพาะตัวกระตุ้น เช่น ภูมิต่อต้านโลหะเงินก็จะสร้างปฏิกิริยาเฉพาะกับเงินไม่ไปทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้กับตัวกระตุ้นอย่างอื่น คนที่แพ้สีก็ต้องมีภูมิต่อต้านสีเกิดขึ้นมา และคนๆ หนึ่งอาจจะแพ้ได้หลายอย่าง แต่ละอย่างก็มีภูมิต่อต้านของตัวเอง ภูมิต้านทานต่อสารตัวหนึ่งจะกระโดดไปมีปฏิกิริยากับสารอีกชนิดหนึ่งนั้น นับว่ามีได้น้อยมาก
อีกประการหนึ่ง อาการแพ้จากการสัมผัส มักจะเกิดขึ้นตรงจุดที่สัมผัสจากสารกระตุ้นเท่านั้น เช่น แพ้กางเกงใน ผื่นคันที่เกิดที่หน้าขา หน้าท้อง แพ้ยาดับกลิ่น ก็จะเกิดอาการคันที่รักแร้ ผิดกับพวกลมพิษซึ่งจะเกิดขึ้นได้ทั้งตัว อย่างไรก็ตามอาการแพ้ห่างจุดสัมผัส เช่น จุดสัมผัสที่เท้าแต่มีอาการทั้งที่เท้า และมือก็อาจเป็นไปได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี บางคนถูกสารเคมีเข้าครั้งเดียว อาจเกิดผื่นคันได้เหมือนกัน กรณีนี้เป็นเพราะผิวหนังถูกก่อกวนหรือทำร้ายด้วยสารนั้นโดยตรง เช่น ถูกยางไม้กัด ถูกกรก ถูกต่างกัด เป็นต้น
โรคผิวหนัง ผื่นคันจากการแพ้ มีอีกชนิดหนึ่ง คือ ผื่นคัน ซึ่งเกิดจากงานซึ่งเป็นอาชีพ และผื่นคันของพวกที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น สุภาพสตรีที่ทำงานเป็นโอเปอร์เรเตอร์ (พนักงานรับโทรศัพท์) อาจแพ้หูโทรศัพท์เกิดผื่นคันที่มือ หรือที่ใบหู พวกช่างปูน อาจแพ้ปูนซีเมนต์ พบอาการเกิดขึ้นที่ง่ามมือ พนักงานพิมพ์ดีด อาจแพ้แป้นตัวพิมพ์ หรือหมึกจากกระดาษคาร์บอน เกิดเป็นเม็ดน้ำใสขึ้นที่นิ้ว และส่วนที่อยู่นอกเสื้อผ้า เป็นต้น สำหรับพวกที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม อาจจะแพ้ส่วนผสม ส่วนประกอบที่ใช้ผลิตสินค้าขึ้นมา เช่น ยาง โลหะ แก๊ส และฝุ่นในโรงงานทอผ้า บางคนไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เช่น เป็นช่างคุมเครื่องจักรอาจจะแพ้น้ำมันหล่อลื่นก็ได้
จากการซักประวัติ จากการดูลักษณะตำแหน่งของผื่นคัน แพทย์สามารถบอกได้ว่า คุณเป็นโรคแพ้และอาจทำนายสาเหตุได้ การทดสอบที่แน่นอน ใช้วิธีฉีดสารที่สงสัยว่าแพ้เข้าใต้ผิวหนัง แล้วดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น
การรักษาที่ดีที่สุด คือ แนะนำให้หลีกเลี่ยงตัวสาเหตุ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้รักษาตามอาการ คือ กินยาแก้แพ้ คลอร์เฟนิรามีน และทายาครีมแพร็ดโซโลน หรือ ครีมเบตาเมธาโซนดังกล่าว
สุดท้ายขอบอกว่า คนที่ผิวหนังแพ้ เป็นผื่นคันมักจะมีไอคิวสูง เพราะฉะนั้นหากเพื่อนคุณว่า “เอ็งไอ้คนผิวหนังแพ้ชอบเป็นผื่นคัน” คุณควรจะตอบว่า ‘ถึงกระนั้นข้าฯก็จัดอยู่ในประเภทคนฉลาดของโลก (เว้ย)’
รูปที่ 1 โรคนิวเมอรา เอ็กซีมา

รูปที่ 2 โรคอะโทรปิด

 
รูปที่ 3 โรคแพ้จากยาทา
รูปที่ 4 โรคเอ็กซีม่าเรื้อรัง คนไข้ทายา เกิดแพ้ยาช้ำ.
สอบถามเพิ่มเติม

อีเมล์ Bangbpharma@gmail.com
ขอขอบคุณข้อมูล จาก สื่อ ออนไลด์ หมอชาวบ้าน โพสโดย Fon เมื่อ 1 ธันวาคม 2522 00:00
เข้าโดย http://www.doctor.or.th/article/detail/5435

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

โรคตาแดง

โรคตาแดง (Acute Conjunctivitis)



โรคตาแดงเป็นการอักเสบติดเชื้อของตาซึ่งในความหมายที่ระบาดมากๆนี้ก็หมายถึงการติดเชื้อไวรัส (แต่ก็อาจมีเชื้อแบคทีเรียมาแทรกซ้อนในภายหลังได้) เนื้อหาหลัก หมอเอามาจากกระทรวงสาธารณสุขไทย จะได้ทราบว่ากระทรวงอยากให้ทำอย่างไร ... จะได้แนะนำต่อได้ค่ะ

โรคตาแดงเป็นได้ในทุกกลุ่มอายุ เป็นมากในเด็กเล็ก เพราะมีการติดต่อได้ง่าย เด็กเล็กไม่ค่อยระวังในเรื่องการติดต่อ และไม่ค่อยล้างมือบ่อยๆ จากเด็กก็ติดไปยังเพื่อนๆที่ โรงเรียน แล้วเด็กๆก็นำเชื้อไปสู่ที่บ้านได้
ส่วนไหนที่จะติดต่อนำเชื้อ? ตอบว่าคือส่วนที่มาจากตา ไม่ว่าจะเป็นน้ำตา หรือขี้ตา ฉะนั้นสิ่งต่างๆที่ไปโดนน้ำตาหรือขี้ตาก็ส่งผ่านเชื้อไปยังคนอื่นได้ ไม่ว่าจะมือ หรือนิ้วของเค้า (ซึ่งก็ไปปจับสิ่งต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะลูกบิดประตูห้องน้ำ, ปากกา, โทรศัพท์ ถ้าบังเอิญใช้ด้วยกัน,คีย์บอร์ด, ราวบันได ฯลฯ )
อาการ
เมื่อได้รับเชื้อ จะใช้เวลา 1-2 วัน ผู้ที่ได้รับเชื้อจะเคืองตา คันๆตา ก็ขยี้ตา (ก็บวมแดงมากขึ้น ปกติก็จะแดงจากการอักเสบอยู่แล้ว) จากนั้นก็จะมีน้ำตาไหล ดูตาบวมๆ ตาขาวแดงๆขึ้น อาจมีน้ำตา(ซึ่งติดต่อไปยังผู้อื่นได้) หรือเป็นลักษณะขี้ตาสีออกเหลืองๆมาก (แบบรูป 3 ซึ่งมักมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ) โดยทั่วไปโรคจะเป็นอยู่ประมาณ 5-7 วัน
การป้องกันไม่ให้เป็นตาแดง
1.ล้างมือ ฟอกสบู่ (สบู่ธรรมดาไม่ใช่สบู่ฆ่าเชื้อก็ได้ ) ล้างบ่อยๆโดยเฉพาะถ้ามีการไปจับโดนของที่ใช้ร่วมกับคนอื่นเช่นลูกบิดประตู
2.พยายามอย่าใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นเช่น ผ้าเช็ดหน้า ,ปากกา
3. ระวังอย่าให้น้ำที่อาจจะไม่สะอาดเข้าตา
การรักษาตาแดง (อันนี้หมอดูข้อมูลของทางกระทรวงสาธารณสุขแล้วว่าต้องการให้ประชาชนทำแบบไหน) ซึ่งสรุปว่าทางกระทรวงบอกว่าประชาชนสามารถซื้อยาหยอดตาที่ร้านขายยาที่มีเภสัชกรแนะนำได้ แต่อย่าไปหาหยอดตาที่ไม่มีการรับรองเช่น ที่บอกว่าเป็นน้ำสมุนไพร หรือน้ำอะไรมาหยอดตา เพราะอาจจะแย่ลงได้ แต่ถ้าสัก 3-4 วันใช้ยาหยอดตาแล้ว ไม่ดีขึ้นเลยหรือแย่ลงก็ควรไปตรวจรักษากับจักษุแพทย์
ยาหยอดตา ( จะไปตรวจกับจักษุแพทย์ หรือ ไปซื้อยาและให้เภสัชกรแนะนำยาหยอดตาให้ ก็ได้ค่ะ กระทรวงสาธารณสุขบอกว่าแบบนั้นค่ะ)
1. ลดอาการระคายเคืองตา
2.เนื่องจากตาแดงที่เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่มียารักษาไวรัสโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่ก็อาจจะได้ยาหยอดตาแบบยาปฏิชีวนะ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อาจแทรกซ้อนค่ะ
3.ผู้ปกครองจะหยอดยาหยอดตาให้บุตรหลาน หรือใครหยอดตาเอง ก็ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาด จากนั้นหยอดยา (กรณีมีมากกว่า1 ชนิดยาหยอดตาให้เว้นห่างกัน 5 นาทีค่ะ แล้วหยอดยาตัวที่สองค่ะ ) ตามรูปที่ 4-6 หยอดยาหยอดตาเฉพาะข้างที่เป็นตาแดงนะคะ "ห้ามไปหยอดป้องกันอีกข้าง" เพราะอาจจะติดเป็นตาแดงไปอีกข้างได้ และเมื่อหยอดตาเสร็จแล้วต้องล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดด้วย
ช่วงเป็นตาแดงควรหยุดเรียน หรือหยุดงาน เพื่อลดการแพร่เชื้อประมาณ 1 สัปดาห์ค่ะ หลายๆคนก็สวมแว่นกันแดดเพราะช่วงที่เป็นก็อาจจะมีอาการตาสู้แสงไม่ค่อยได้ค่ะ
วิธีหยอดยาหยอดตาที่ถูกต้อง
1. ล้างมือฟอกสบู่คนที่เป็นคนหยอด ถ้าหยอดตาด้วยตัวเองก็ทำตามรูปที่ 5 คือใช้นิ้วอีกมือดึงหนังตาล่างลง
2. หยอดยาโดยหยดยาครั้งละ 1-2 หยด อย่าหยอดจ่อใกล้ตามากไป เพราะบางครั้งเชื้อจากตาก็กระเด็นไปกับน้ำไปอยู่ที่ปลายของส่วนที่หยดยา
3. เมื่อหยอดตาเสร็จควรกดหัวตาแป๊บนึง เพื่อไม่ให้ยาไหลออกทางรูน้ำตา หลับตาชั่วขณะ
4.ถ้ามีการจะซับตาหลังหยอดยา ควรใช้ทิชชูแล้วทิ้งไปเลยมากกว่า เพื่อลดการติดต่อไปยังผู้อื่น
5. เมื่อหยอดตาเสร็จแล้วก็ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดอีกครั้งค่ะ
**** โรคตาแดง เป็นแล้วกลับมาเป็นได้อีกนะคะ ไม่ใช่เป็นแล้วจะมีภูมิต้านทานค่ะ ****
โรคตาแดงเป็นโรคที่ติดต่อง่าย และระบาดมากอยู่ในขณะนี้ แต่ถ้ามีการป้องกันดีๆก็จะลดการแพร่ระบาดได้ คนที่เป็นตาแดงและหายแล้ว ก็สามารถรับเชื้อแล้วเป็นใหม่ได้อีกค่ะ ช่วยกันเผยแพร่ความรู้ เพื่อร่วมกันป้องกันตาแดงระบาดนะคะ 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/DoctorBClinic