วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โรคเหา วิธีการรักษา หลังจากอย.ห้ามใช้ LINDANE

ภาพจาก: http://tinyzone.tv/HealthDetail.aspx?ctpostid=520

     โรคเหาที่หนังศีรษะ (Pediculosis capitis) พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียน (เพราะเด็กนักเรียนจะวิ่งเล่นใกล้ชิดกันมาก) โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงและคนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด บางคนไม่มีอาการมากเท่าใด แต่อาจสร้างความรำคาญได้

สาเหตุของการเกิด: 

     เชื้อโรคเหา- เหาเกิดจากเชื้อปาราสิต ชื่อว่า "Pediculus humanus" ซึ่งอาศัยอยู่บนหนังศีรษะ เส้นผม ขน ปาราสิตนี้จะคอยดูดเลือดกินเป็นอาหาร และวางไข่บนเส้นผม โดยหลั่งสารไคติน (chitin) หุ้มปลายหนึ่งของไข่ ให้เกาะติดแน่นอยู่ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า บางคนไม่มีอาการเท่าใด แต่จะสร้างความรำคาญใจได้

 
พฤติกรรมของเหา: 


     เป็นการติดต่อทางการสัมผัสโดยตรง (direct contact) เช่น การใช้หวี แปรง ร่วมกัน การใช้หมวก ร่วมกัน การใช้หมอน ที่นอนร่วมกัน จากศีรษะคนหนึ่งไปที่ศีรษะอีกคนหนึ่งเพราะฉะนั้นจึงมักพบระบาดในโรงเรียน ได้บ่อย เพราะเด็กนักเรียนจะวิ่งเล่นใกล้ชิดกันมาก

วงจรชีวิตของเหา:

 ไข่เหา:  ตลอดชีวิตแม่เหาหรือโลน 1 ตัว วางไข่ได้ดังนี้
      - เหาหัว 50-150 ฟอง
      - เหาตัว 270-300 ฟอง
      - โลน ประมาณ 26 ฟอง
      - ฟักภายใน 7 - 10 วัน มีสีขาวขุ่น อยู่ติดกับโคนผมหรือขน
ตัวกลางวัย-  ลอกคราบ 3 ครั้ง ใช้เวลาในการเจริญเติบโต 7 - 13 วัน
ตัวเต็มวัย-  ผสมพันธุ์และวางไข่ภายใน 1 - 2 วัน มีอายุ 2 - 4 สัปดาห์

ชนิดของเหา:

เหาคนมี 3 ชนิด
เหาหัว - อาศัยอยู่บนศีรษะ ดูดเลือดจากศีรษะ และทำให้คัน เกิดการอักเสบ เป็นแผลติดเชื้อ 
เหาตัว - อาศัยอยู่ตามขนบริเวณลำตัวและตะเข็บเสื้อผ้า นอกจากดูดเลือดและทำให้คันแล้ว ยังเป็นตัวการนำโรคหลายชนิด เช่น epidemic typhus, trench fever, relapsing fever 
โลน - อาศัยอยู่ตามขนบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ ทำให้เกิดอาการคันรุนแรงมาก



อาการของการเกิดโรคเหา :
     
     จะมีอาการคันที่บริเวณด้านหลังและด้านตรงศีรษะ ถ้าเกามากเป็นหนอง สะเก็ดแห้งกรัง ได้ บางครั้งเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณท้ายทอย และข้างคอโตได้ ในทางตรงกันข้าม บางคนอาจจะไม่มีอาการใดมาก ไม่คันมาก
ตำแหน่งที่อยู่ของเหาพบบ่อย : 

เหาจะพบบ่อยที่ศีรษะด้านท้ายทอย หลังหู อาจลามมาที่คิ้ว คอ ได้ แต่พบน้อย

การตรวจร่างกาย : 


ตัวเหาบนศีรษะ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หรืออาจใช้แว่นขยายช่วยส่องดู ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีตัวเหาบนศีรษะน้อยกว่า 10 ตัว น้ำลายของตัวเหาจะมีสารซึ่งระคายเคืองผิวหนังได้ ทำให้เกิดตุ่มคันตรงรอยกัด


วิธีการรักษาเหา :



     -การโกนผม จะช่วยได้มาก และสะดวกดี ไม่สิ้นเปลือง แต่เด็ก จะอายเพื่อนฝูง

     -การใช้หวีเสนียด คือ หวีซึ่งมีซี่ของหวีถี่มากใช้สางผมทำให้ทั้ง ตัวเหาและไข่เหา หลุดติดกับหวีออก         มาได้
     -การใช้ยาฆ่าเหา ชื่อทางการค้าว่า จาคูติน (Jacutin) ใช้ทา ศีรษะ ทิ้งไว้ 12 ชั่วโมง ล้างออกใช้ทา           ติดต่อกัน 3 วัน
     -การใช้ยาปฏิชีวนะ ถ้าเกิดมีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนเกิดขึ้น
     -ยากินกลุ่มแอนติฮีสตามีน ใช้กินเพื่อระงับอาการคัน

ยาที่เกี่ยวข้อง :

ยาที่ใช้บ่อย Malathion
, Benzyl alcohol lotion

สมุนไพรรักษาโรคเหา :


ขนานที่ 1 ใช้น้ำส้มสายชูชะโลมศีรษะ เอาผ้าโพกหว้สักครึ่งชั่วโมงค่อยสระผม แล้วเอาหวีถี่ ๆ สางเอาตัวและไข่เหาออก หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ทำอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากนั้นอีก 2 อาทิตย์ จึงทำอีกครั้งหนึ่ง น้ำส้มสายชูทำให้ไข่เหาร่วงหลุดไปได้ (ให้ใช้น้ำส้มสายชูแท้เท่านั้น)


ขนานที่ 2 เอาผลมะกรูดใบใหญ่ที่แก่จัดน้ำมาก นำไปเผาไฟหรือย่างไฟให้สุก ทิ้งไว้ให้เย็น เอามาคลึงให้มีน้ำมาก ๆ ผ่าครึ่งบีบน้ำลงบนหัวขยี้ให้ทั่ว ใช้หวีถี่ ๆ สางเส้นผม จะมีไข่เหาติดออกมา ทำอาทิตย์ละครั้ง ทำทั้งหมด 3 ครั้ง


ขนานที่ 3 เอาใบน้อยหน่ามา 5-8 ใบ โขลกให้ละเอียด ผสมน้ำและทาผมให้ทั่ว เอาผ้าคลุมไว้สักครึ่งชั่วโมง จึงล้างน้ำออก ฟอกด้วยยาสระผมอีกครั้งหนึ่ง แล้วใช้หวีถี่ ๆ สางเอาตัวและไข่เหาออก
ข้อควรระวัง อย่าให้น้ำน้อยหน่าเข้าตา เพราะจะแสบตามาก


ขนานที่ 4 เอาใบสะเดาแก่ ๆ สัก 2-3 กำมือ โขลกให้ละเอียด ผสมน้ำพอเหลวนิดหน่อย ทาผมให้ทั่วปล่อยให้แห้ง แล้วค่อยสระผมด้วยแชมพู


ขนานที่ 5 เอาลูกบวบขมแกะเปลือกออก เอาน้ำในลูกบวบขมทาผมให้ทั่ว ทิ้งไว้สัก 2-3 นาที
 
ขนานที่ 6 ใช้ผลมะตูมสุกมาผ่า เอายางจากผลมะตูมสุกทาผม แล้วหวีให้ทั่ว ปล่อยไว้ให้แห้ง เหาจะตายหมดแล้ว ล้างน้ำ ต่อจากนั้นจึงหวีออก





ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก http://tinyzone.tv/HealthDetail.aspx?ctpostid=520



สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 

 — ที่ ร้านขายยาบางบอน5เภสัช


วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หน้าฝนแบบนี้ ดูแลสุขภาพให้ดี ไม่ยากเลย !

หน้าฝนแบบนี้ มาดูแลสุขภาพให้ดีกันเถอะ!!




      แน่นอนว่าหน้าฝนที่วันดีคืนดีก็มีพายุเข้า ฝนตกกระหน่ำ บางวันก็ร้อนอบอ้าวซะจนปรับตัวกันไม่ทัน คงจะสั่นคลอนสุขภาพของทุกคนน่าดู บางคนอาจจะมีอาการไอ และเจ็บคอกันไปแล้วบ้าง หรือใครที่ร่างกายอ่อนแอหน่อยก็อาจจะล้มหมอนนอนเสื่อกันแล้วก็มี ถ้าอย่างนั้นวันนี้เรามาดูแลสุขภาพในหน้าฝนด้วยวิธีต่อไปนี้กันก่อนดีกว่าค่ะ

    พกร่ม เสื้อกันฝน และผ้าขนหนู

              ก่อนอื่นเราควรต้องป้องกันตัวเองไม่ให้เปียกฝนก่อน เพราะถ้าหากเปียกฝนก็อาจจะมีสิทธิ์เป็นหวัด ไอ จาม หรือเป็นไข้เอาได้ง่าย ๆ และในช่วงฤดูฝนที่ฝนตกไม่แน่นอนอย่างนี้ เราก็ควรต้องพกร่ม เสื้อกันฝน หรือผ้าขนหนูติดตัวไว้ตลอด เผื่อต้องลุยฝนขึ้นมาจะได้กางร่มหรือใส่เสื้อกันฝนป้องกันได้ และหากส่วนไหนของร่างกายเปียกฝน โดยเฉพาะส่วนหัว ก็จะได้ใช้ผ้าขนหนูซับผมให้แห้งให้ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันอาการปอดบวมนั่นเองค่ะ



    ดื่มน้ำเยอะ ๆ

              แม้ว่าในช่วงฤดูฝนจะมีทั้งสายฝน และความชื้นอยู่พอสมควร แต่อากาศก็ยังคงร้อนอยู่ดี ซึ่งก็ทำให้ร่างกายของเราเสียเหงื่อไปไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นเราก็ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ ไว้ก่อน เพื่อรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ และเพื่อป้องกันร่างกายสูญเสียน้ำจากการที่เหงื่อออกมาจนเกินไปด้วย ซึ่งแพทย์ก็ได้ย้ำว่า โดยปกติแล้วร่างกายของเราจะสูญเสียน้ำประมาณ 4% ของน้ำหนักร่างกาย ทั้งจากการที่เหงื่อออก และการขับปัสสาวะ 

              อีกทั้งร่างกายจะมีภาวะขาดน้ำต่อเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำไปประมาณ 1% ของน้ำหนักตัว ดังนั้นแพทย์จึงแนะนำให้เราดื่มน้ำไม่ต่ำกว่า 1.5 ลิตรในแต่ละวันนั่นเอง ซึ่งภาวะร่างกายขาดน้ำ หรือได้รับน้ำไม่เพียงพอ อาจจะทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลมแดด เนื่องจากระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายปรวนแปร
              นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ด้วย เพราะแอลกอฮอล์จะยิ่งขับน้ำในร่างกายออกมา จนทำให้เราตกอยู่ในภาวะเสี่ยงขาดน้ำได้เช่นกัน อีกทั้งแพทย์ยังแนะนำอีกด้วยว่า หากคุณเหงื่อออกมาก และรู้สึกไม่อยากดื่มน้ำ ให้ค่อย ๆ จิบน้ำทีละนิดแทนการดื่มน้ำอึกใหญ่รวดเดียวหมด เพราะการดื่มน้ำมาก ๆ ในคราวเดียว จะกระทบกับระบบการทำงานของไตและหัวใจค่ะ




    หลีกเลี่ยงการลุยน้ำท่วมขัง

              ฝนตกหนัก ๆ บางทีก็อาจจะเกิดน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ และนอกจากเราจะไม่ควรเดินลุยฝนแล้ว เราก็ยังไม่ควรเดินลุยน้ำท่วมขังเหล่านี้ด้วย เพราะน้ำที่ท่วมขังจะมีเชื้อโรคอยู่มากมาย ที่จะนำมาซึ่งอหิวาตกโรค โรคมือเท้าเปื่อย ไทรอยด์ ไข้ขึ้นสูง และแผลอักเสบ เป็นต้น อีกทั้งก็ควรล้างมือและเท้าให้สะอาดทุกครั้งเมื่อเข้าบ้าน หรือเมื่อจะรับประทานอาหาร ส่วนน้ำดื่มก็ควรจะต้องผ่านการต้มสุกก่อนด้วย เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่มากับความชื้นในหน้าฝน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เราเกิดอาการท้องร่วง ท้องเสียอย่างรุนแรงในภายหลัง






    พยายามทำตัวให้แห้งอยู่เสมอ

              การเตรียมร่ม เสื้อกันฝน ผ้าขนหนู หรือเสื้อผ้าไว้ผลัดเปลี่ยนในกรณีที่จำเป็นต้องลุยฝน ก็จะช่วยให้คุณไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเปียกปอนนานนัก เพราะแพทย์ได้บอกว่า การอยู่ในสภาพเปียกชื้น อาจทำให้ร่างกายเป็นตะคริว เป็นหวัด และเป็นไข้ได้ 

              ดังนั้น หากวันไหนที่เปียกฝน อย่าเพิ่งรีบเดินเข้าห้องแอร์เย็นฉ่ำ เพราะจะทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ให้คุณรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ำสระผมทันทีที่ถึงบ้าน และควรจะอาบน้ำอุ่นด้วย เพราะเป็นวิธีที่ช่วยให้อุณหภูมิร่างกายกลับมาเป็นปกติได้เร็วที่สุด นอกจากนี้ควรนำผ้าขนหนูอุ่น ๆ มาประคบที่แขนและขา เพื่อป้องกันการเกิดตะคริวด้วยนะคะ




    กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ

              อากาศชื้น ๆ ในหน้าฝนเป็นอุณหภูมิที่พอเหมาะกับเชื้อโรค แบคทีเรีย และจุลินทรีย์ทั้งหลาย ที่จะมีโอกาสได้ดี๊ด๊าลอยนวลอย่างมีความสุข ฉะนั้นก่อนจะรับประทานอาหารอะไร ก็ควรต้องมั่นใจก่อนว่าอาหารจานนั้น ๆ จะได้รับการปรุงสุกแบบสด ๆ ร้อน ๆ รวมไปถึงร่างกายของเราก็ต้องสะอาดและถูกสุขอนามัยด้วยเช่นกัน อย่าลืมล้างมือให้สะอาดหมดจดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร และพยายามดื่มน้ำต้มสุกเยอะ ๆ ด้วย เพื่อเสริมสร้างให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ ไม่ปรวนแปร จนเป็นช่องโหว่ให้เชื้อโรคร้ายมาคุกคามได้




    อยู่ให้ห่างจากยุง

              เรารู้กันดีว่ายุงจะชุกชุมในช่วงฤดูฝนมากเป็นพิเศษ เนื่องจากสภาพอากาศ ความชื้น อุณหภูมิที่เหมาะสม และสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญพันธุ์ของยุง อีกทั้งยุงในฤดูฝนก็จะเป็นพาหะนำโรคร้ายอย่างไข้เลือดออกมาให้เราอีกด้วย 

              ดังนั้นคงดีกว่าหากเราจะป้องกันเอาไว้ก่อนด้วยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง หากรอบ ๆ บ้านมีแอ่งน้ำ ก็ถมและกำจัดน้ำที่ขังอยู่ตามภาชนะต่าง ๆ ให้หมด ฉีดพ่นยากันยุงรอบ ๆ บ้าน จัดแต่งสวนให้โล่งเตียน ในสระว่ายน้ำก็ควรใส่ทรายอะเบทป้องกันยุงเอาไว้ด้วย และควรตรวจสอบรูรั่วของหน้าต่างมุ้งลวดให้ดี หากพบว่าขาดชำรุดก็ต้องรีบซ่อมแซมทันที นอกจากนี้ควรทาโลชั่นกันยุง หรือฉีดตะไคร้หอมป้องกันยุงเสริมเข้าไปอีกวิธี เพื่อให้แน่ใจว่ายุงจะไม่มากวนใจให้เราต้องเสี่ยงเป็นไข้เลือดออกอย่างแน่นอนค่ะ




    ล้างผักผลไม้และอุปกรณ์ทำครัวให้สะอาด
              ในสภาพอากาศชื้นแฉะในหน้าฝน ไม่เพียงแต่เชื้อโรค แบคทีเรีย และจุลินทรีย์จะเจริญเติบโตได้ดีเพียงอย่างเดียว แต่เชื้อราก็มีโอกาสแฝงตัวเนียน ๆ มากับอาหารและข้าวของเครื่องใช้เราได้อย่างสบาย ๆ เลยล่ะ 

              ฉะนั้นก่อนจะประกอบอาหารทุกครั้ง ก็ควรต้องล้างผัก ผลไม้ และวัตถุดิบทุกชนิดให้สะอาดหมดจด โดยเฉพาะผักและผลไม้ ควรแช่ด่างทับทิมก่อนประมาณ 5 นาที จากนั้นค่อยนำไปล้างผ่านก๊อกน้ำให้สะอาดอีกครั้ง รวมไปถึงอุปกรณ์ทำครัวต่าง ๆ ที่ถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก หรือที่แขวนเอาไว้ก็ต้องนำมาล้างอย่างหมดจดเช่นกัน เพื่อป้องกันเชื้อราและเชื้อโรคที่แฝงตัวอยู่ไม่ให้เนียนเข้ามาในร่างกายของเราได้นะจ๊ะ




    รับประทานสมุนไพร

              สมุนไพร เช่น ตะไคร้ ข่า ขิง กระเทียม และขมิ้น ล้วนมีคุณสมบัติช่วยรักษาอุณหภูมิและส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายได้เป็นอย่างดี จึงเหมาะที่เราจะรับประทานสมุนไพรเหล่านี้ในฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูที่ร่างกายมีโอกาสต้องปรับตัวไปตามสภาพอากาศที่แปรปรวนอยู่เสมอ เดี๋ยวก็ร้อนอบอ้าว เดี๋ยวก็เย็นชื้นเพราะฝนตก

              นอกจากนี้ผลไม้รสเปรี้ยวประเภท ส้ม มะนาว เกรปฟรุต หรือผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีอย่าง ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี มะขามเทศ มะขามป้อม และลูกพลับ เราก็ควรต้องกินด้วยเช่นกัน เนื่องจากผลไม้ที่มีวิตามินซีเหล่านี้ จะช่วยรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติดี ร่างกายเราก็จะแข็งแรง ไม่โดนเชื้อโรคร้ายใด ๆ คุกคามได้ง่าย ๆ




    หากไอให้ใช้กระดาษทิชชูปิดปากแทนมือ

              เมื่อมีอาการไอ ให้ใช้กระดาษทิชชูปิดปากแทนการใช้มือเปล่า ๆ ปิดปาก เพราะเชื้อโรคจะได้ไม่แพร่กระจายมายังมือของเรา ป้องกันเวลาเราเผลอใช้มือหยิบจับอาหารเข้าปาก หรือใช้มือเช็ดตามส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย แต่ถ้าเผลอใช้มือปิดปากเวลาไอไปแล้ว ก็ควรต้องรีบล้างมือด้วยน้ำและสบู่ทันทีทุกครั้งด้วยนะคะ

              ทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวทางดูแลสุขภาพและร่างกายให้รอดปลอดภัยในช่วงหน้าฝน ซึ่งในระหว่างที่ฝนตกบ้างไม่ตกบ้างอย่างนี้ ก็อยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพให้ดี อย่าเผอเรอปล่อยปละละเลยรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป จนทำให้เป็นไข้หวัด หรือมีอาการป่วยกันได้นะคะ ทางไหนที่เราจะป้องกันได้ ก็ควรทำเนอะ


    สอบถามเพิ่มเติมที่ร้านขายยา


    ที่มา ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://health.kapook.com/view67260.html

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ยาคุมฉุกเฉิน

ยาคุมฉุกเฉิน

ยาคุมฉุกเฉิน

ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน จะมียาเพียง 2 เม็ด ซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนอย่างเดียวในปริมาณที่สูงมาก เพื่อกระตุ้นให้ผนังมดลูกของเราโตเต็มที และจำทำให้มีประจำเดือนมาภายใน 2-3 วัน แต่ถ้าประจำเดือนยังไม่มาภายใน 2-3 วัน ควรทำการทดสอบการตั้งครรภ์

วิธีกินยาคุมฉุกเฉิน

  1. ให้ทานเม็ดแรกทันทีหรือภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ยิ่งรับประทานได้เร็วเท่าใหร่ยิ่งดี
  2. รับประทานเม็ดที่ 2 ภายใน 12 ชั่วโมง หลังจากเม็ดแรก
  3. สามารถรับประทานครั้งเดียว 2 เม็ดพร้อมกันได้ แต่อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงมากกว่าการทานทีละเม็ด เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศรีษะ เป็นต้น

ผลข้างเคียงของการกินยาคุมฉุกเฉิน

  1. ยาคุมฉุกเฉินเมื่อรับประทานแล้ว อีก 2-3 วันจะต้องมีประจำเดือนมาทุกครั้ง และจะทำให้เลือดออกมากกว่าปกติ จึงไม่ควรกินยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 แผงต่อเดือน เพราะจะทำให้ร่างกายเสียเลือดมากเกินไป
  2. การกินยาคุมฉุกเฉินพร่ำเพรื่อจะทำให้ร่างกาย อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า สมองสั่งงานช้า ส่งผลกระทบต่อการเรียนและการทำงาน
  3. ประจำเดือนมาไม่ปกติ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศรีษะ
  4. มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดต่ำกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดแบบ 28 และ 21 เม็ด

มีเพศสัมพันธ์ผ่านไป 3 วัน กินยาคุมฉุกเฉินทันใหม?

ถ้ามีเพศสัมพันธ์ผ่านไป 72 ชั่วโมงหรือ 3 วันแล้วโดยไม่ได้คุมกำเนิด สามารถรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า ลีโวนอร์เจสเตรล (levonorgestrel) รับประทานครั้งเดียว 2 เม็ด ภายใน 120 ชั่วโมง หรือ 5 วัน

ใช้ยาคุมฉุกเฉินเมื่อจำเป็นเท่านั้น

ยาคุมฉุกเฉิน ควรใช้เมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น เช่น พลาดพลั้งเกิดการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ หรือลืมทานยาเม็ดคุมกำเนิด จึงจำเป็นต้องใช้เพื่อช่วยป้องก้นการตั้งครรภ์ แต่ถ้ามีเพศสัมพันธ์เป็นประจำหรือมากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน ควรใช้วิธีอื่นในการคุมกำเนิดเพื่อประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดที่ดีกว่า เพราะยาคุมฉุกเฉินสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เพียง 75-85 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
สำหรับวัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ควรวางแผนการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์แล้วยังช่วยป้องกันการติดโรคทางเพศสัมพันธืได้ด้วย

Tips

  • กินยาคุมฉุกเฉินขณะตั้งครรภ์ไม่ส่งผลทำให้เด็กในท้องพิการและไม่มีผลเสียต่อร่างกาย เพราะยาคุมฉุกเฉินเป็นฮอร์โมนตามธรรมชาติที่ร่างกายเรามีอยู่แล้ว
  • ถ้าจำเป็นต้องใช้ สามารถซื้อได้เองตามร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์

สอบถามเพิ่มเติมที่ร้านขายยา

 — ที่ ร้านขายยาบางบอน5เภสัช

ที่มา ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://www.medicthai.com/เกี่ยวกับยา/item/146-ยาคุมฉุกเฉิน