แคลเซียมสำหรับคนที่สนใจสุขภาพ พูดถึงสุขภาพแล้วไม่มีคำว่าแก่เกินไป ว่าด้วยเรื่องของ แคลเซียมนั้น จึงมีคนอยากรู้และได้รับคำถามเสมอ แคลเซียมขาดตอนไหน
ต้องได้เท่าไรถึงพอ ทานอย่างไรดี
แคลเซียมเป็นส่วนประกอบของร่างกาย ซึ่งร่างกายจะประกอบด้วยแคลเซียม99 % ซึ่งอยู่ไหนกระดูกละฟัน อีก 1 % อยู่ไหนระบบไหลเวียนเลือดของร่างกาย ดูเหมือนน้อย แต่มีประโยชน์ ซึ่งออกฤทธิ์เกี่ยวกับสารสื่อประสาทในร่างกาย ออกฤทธิ์เกี่ยวกับการทำงานของมวลกล้ามเนื้อ ออกฤทธิ์ในการควบคุมการเต้นของหัวใจ แคลเซียมจึงมีบทบาทสำคัญต่อร่างกาย แล้วเรา
แคลเซียมเป็นส่วนประกอบของร่างกาย ซึ่งร่างกายจะประกอบด้วยแคลเซียม99 % ซึ่งอยู่ไหนกระดูกละฟัน อีก 1 % อยู่ไหนระบบไหลเวียนเลือดของร่างกาย ดูเหมือนน้อย แต่มีประโยชน์ ซึ่งออกฤทธิ์เกี่ยวกับสารสื่อประสาทในร่างกาย ออกฤทธิ์เกี่ยวกับการทำงานของมวลกล้ามเนื้อ ออกฤทธิ์ในการควบคุมการเต้นของหัวใจ แคลเซียมจึงมีบทบาทสำคัญต่อร่างกาย แล้วเรา
ร่างกายเริ่มมีดูดซึมตั้งแต่เด็ก และจะสามารถดูดซึมได้จนถึงอายุ
30 ร่างกายก็จะไม่สามารถเก็บแคลเซียมได้ ถ้าร่างกายได้รับไม่เพียงพอ
ร่างกายก็จะดึงจากที่สะสมในร่างกายมาใช้ซึ่งนั้นก็มาจากกระดูกนั้นเอง
ปริมาณที่ต้องการต่อวัน ตั้งแต่อาสยุ1ปีขึ้นไปต้องการ ++800 ต่อวัน อายุ30ปีขึ้นไป++1000ต่อวัน
อายุมากกว่า50++1200ต่อวัน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม, เชื้อชาติ
เป็นต้น
ซึ่งแหล่งแคลเซียม มีอยู่มากมายที่รู้จักกัน คือ นม แต่นมต้องย่อยสลายก่อนร่างกายถึงจะดูดซึมแคลเซียมได้
แต่หลายคนมักแพ้นม การแพ้นม คือการที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายนมได้ ร่างกายจึงไม่สามารถนำแคลเซียมจากนมไปใช้ได้
หรือลำไส้ไม่มีน้ำย่อยสำหรับย่อยนม ผลทำให้ เกิดแก๊ส แน่นท้อง ท้องเฝ้อ ปวดไมเกรน
ภูมิแพ้ ท้องเสีย ท้องผูก และเป็นสาเหตุก่อให้เกิดเซลล์มะเร็ง พบว่าคนเอเชียแพ้นมถึง 90 % คนไทยเองมีจำนวนคนแพ้นมถึง 99% กันเลยทีเดียว
แหล่งที่มาของแคลเซียมอีกที่ ที่เรารู้จักกันดี ก้คือใน ผัก แคลเซียมจากผักสามารถย่อยได้
เช่น คะน้า 1ขีด/280Mg กระเฉด 1ขีด/390mg ฯลฯ เป็นต้น แต่ก็มีผักหลายชนิดที่มีแคลเซียมสูงแต่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้
เช่น ชะพูล 600มก /ขีดใบยอ400มก/ขีด ใบยอปัดตานี 800มก/ขีด
ซึ่งเห็นว่ามีปริมาณแคลเซียมมาก แต่พืชดังกล่าว มีปริมาณออกซาเลตในปริมาณที่สูงที่ผลที่มีออกซาเลตที่สูงนั้น
จะจับกับแคลเซียมเป็นแคลเซียมออกซาเลต สามารถทำให้เกิดนิ่วได้ ที่เกิดจากการจับตัวของแคลเซียมนั้นเอง
สำหรับแคลเซียมที่แพร่หลายตามท้องตลาดทั่วไป จะพบแคลเวียมในรูปแบบ
-แคลเซียมคารบอเนต มีข้อเสียคือดูดซึมได้ 10% เท่านั้น 90%ทำให้เกิด แก๊ส ท้องอืด ที่เหลือแพร่กระจายไปในเลือดกระจายไปที่ต่างๆของร่างกาย และส่วนหนึ่งขับออกทางปัสสาวะ
-เคลเซียมซิเตรต การดูดซึมดีขึ้นคือ ดูดซึม50% ข้อเสีย
คือก็ยังตกค้างได้ถึง 50%
-แคลเซียมเอลทริโอเนต ได้จากพืช ในกระบวนการสกัดจากกระบวนการผลิตวิตามินซีจากข้าวโพด
ดูดได้ดีกว่ารูปแบบอื่นถึง 9เท่า 95% จึงตกค้างในร่างกายน้อย
แต่แคลเซียมอย่างเดียวคงไม่พอเพราะกระบวนการดูซึมแคลเซียมยังต้องใช้วิตตามินอื่นเพื่อช่วงในการดูดซิม
เช่น วิตตามินดี วิตามินเค2 วิตามินอี วิตตามินซี และการดูดซึมยังต้องอาศัยภาวะกรดอ่อนในร่างกายอีกด้วยเอการดูดซึมที่ดีขึ้น
และการต้องการใช้วิตามินดีในการดูดซึมแคลเซียมนั้นต้องใช้ถึง วันละ 800-1000 Unit สามารถรับได้ในแสงแดดช่วงเช้า
ช่วง 7-9 โมง เท่านั้น ซึ่ง2 ชั่วโมงจะได้ 200 unit กันทีเดียว ด้วยกันนั้นหากเราได้รับมากเกินไปร่างกายจะขจัดออกจากร่างกายการและยังมีภาวะที่ทำให้แคลเซียมหายไปจากร่างกายซึ่งได้แก่
1.น้ำอัดลม เนื่องจากมีฟอสพอรัสในปริมาณมาก จับตัวกันไม่ดูซึม 2.กาแฟ ปัสสาวะบ่อย 3.นิโคติน จากบุหรี่
4.วิตตามิน เอ รูปแบบเรตินอล ฯลฯ
ดังนั้น หากต้องแนะนำการบริโภคแคลเซียนั้น
ต้องดูที่ความจำเป็นและความต้องการของร่างกายแต่ละคนและภาวะโรงแต่ละคน
รูปแบบแคลเซียมทมี่เหมาะสมกับคนไทยนั้น คือแคลเซียมจากพืช
ซึ่งหากได้รับต่อวันเพียงพอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องได้รับแคลเซียมเพิ่ม ก็ได้
แคลเซียมจากพืช สามารถหาเพิ่มเติมจาก
https://www.thairath.co.th/content/120402
แคลเซียมจากพืช สามารถหาเพิ่มเติมจาก
https://www.thairath.co.th/content/120402
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น