วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

การนอนกรน (Snoring) ป้องกัน รักษาได้


ภาวะนอนกรน (Snoring) 

นอนกรน (Snoring) คือภาวะที่มีเสียงแหบ ๆ หรือเสียงผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างหายใจในขณะนอนหลับ เกิดขึ้นจากการถูกปิดกั้นของทางเดินหายใจบางส่วน และจะกรนดังมากขึ้นเมื่ออยู่ในท่านอนหงาย การนอนกรนที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถบรรเทาลงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น นอนตะแคง หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน โดยการนอนกรนส่งผลต่อทั้งสุขภาพของผู้ที่นอนกรนเองและรบกวนบุคคลที่นอนข้าง ๆ นอนกรนพบได้มากในเพศชาย และจะมีอาการหนักขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
นอนกรน
อาการนอนกรน
        นอนกรนมักเกิดขึ้นในช่วงของการหลับลึกและจะกรนดังมากขึ้นเมื่ออยู่ในท่านอนหงาย โดยมีเสียงเกิดขึ้นที่บริเวณลำคอระหว่างหายใจเข้าในขณะนอนหลับ พบได้ในเพศชายมากกว่าในเพศหญิง ส่วนมากผู้ที่นอนกรนมักเกิดอาการร่วมกันระหว่างทางเดินหายใจถูกปิดกั้นและอวัยวะภายในลำคอสั่น เสียงที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่เกิดการสั่น เช่น หากเนื้อเยื่ออ่อนบริเวณด้านหลังของโพรงจมูกสั่นจะทำให้เกิดเสียงขึ้นจมูก หรือหากเพดานอ่อนหรือลิ้นไก่สั่นจะทำให้เกิดเสียงที่ดังมากขึ้นในลำคอ เป็นต้น
ความรุนแรงของการนอนกรน แบ่งได้ 3 ระดับ ดังนี้
  • ความรุนแรงระดับ 1 คือการนอนกรนทั่วไป ไม่บ่อย และมีเสียงไม่ดังมาก การนอนกรนในระดับนี้ยังไม่ส่งผลต่อการหายใจในขณะนอนหลับ แต่อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของบุคคลที่นอนข้าง ๆ
  • ความรุนแรงระดับ 2 คือการนอนกรนที่เกิดขึ้นบ่อย หรือมากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ การนอนกรนในระดับนี้อาจส่งผลต่อการหายใจในระดับน้อยถึงปานกลางในขณะนอนหลับ และส่งผลให้รู้สึกง่วงและเหนื่อยในเวลากลางวัน  
  • ความรุนแรงระดับ 3 คือการนอนกรนเป็นประจำทุกวันและมีเสียงดัง การนอนกรนในระดับนี้มักเกิดภาวะหยุดหายในขณะหลับร่วมด้วย อาจทำให้ทางเดินหายใจถูกปิดกั้นบางส่วนหรือทั้งหมดเป็นเวลาประมาณ 10 วินาที ส่งผลให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอและส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

ภาวะการหยุดหายใจขณะหลับ (obstructive sleep apnea : OSA) คืออะไร

          ในขณะหลับ นอกจากเกิดอาการกรนแล้ว ยังพบว่า อาจมีการหยุดหายใจร่วมด้วย เมื่อเนื้อเยื่อคอหรือลิ้นหย่อนลงไปปิดทางเดินหายใจส่วนต้น ร่างกายจะพยายามหายใจเข้ามากขึ้นเพื่อให้อากาศผ่านเข้าทางเดินหายใจที่ตีบลง ยิ่งทำให้ทางเดินหายใจแคบขึ้นจนกระทั่งปิดสนิท คล้ายกับการดูดชิ้นของอาหารด้วยหลอด ชิ้นของอาหารจะติดที่ปลายหลอด ทำให้ไม่สามารถผ่านไปได้ อาหารในที่นี้เปรียบเสมือนอากาศนั่นเอง เมื่ออากาศไม่สามารถผ่านทางเดินอากาศที่ปิดสนิท ร่างกายจึงไม่สามารถนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้ เมื่อสมองขาดออกซิเจน จะทำให้ผู้ป่วยตื่นขึ้นในรูปแบบการหายใจแรงหรือไอแรง เพื่อปรับตำแหน่งของลิ้นใหม่ ในวงรอบของการนอน อาจมีการกรนและภาวะหยุดหายใจหลายครั้ง เป็นผลทำให้ผู้ป่วยนอนหลับไม่เพียงพอและสมองได้รับออกซิเจนไม่เต็มที่ ควรไปพบแพทย์หากพบอาการต่อไปนี้ร่วมกับการนอนกรน
  • กรนเสียงดัง
  • ง่วงมากในตอนกลางวัน
  • ปวดศีรษะในตอนเช้า
  • คอแห้ง เจ็บคอ
  • สมาธิและความจำลดลง
  • นอนกระสับกระส่าย
  • สำลัก หรือเจ็บหน้าอกในตอนกลางคืน
  • ความดันโลหิตสูง

การรักษาผู้ป่วยที่มีอาการนอนกรนและมีภาวะหยุดหายใจขณะหลั

          ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความรุนแรงของอาการอยู่ในระดับน้อย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและรูปแบบการดำเนินชีวิตอาจช่วยให้ดีขึ้น เช่น การลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย งดดื่มสุราหรือรับประทานอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมง หากผู้ป่วยมีภาวะดังกล่าวในระดับปานกลางถึงมาก จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม เช่น การผ่าตัดเนื้อเยื่อคอ ขากรรไกร ลิ้น หรือลิ้นไก่ เพื่อช่วยเปิดทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น การใช้เครื่องเป่าลมในการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ [continuous positive airway pressure (CPAP) titration] ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ดีสุดในขณะนี้ นอกจากนี้ยังมีการใช้เครื่องมือในช่องปากอีกด้วย ในการเลือกใช้วิธีในการรักษาใด ๆ ก็ตาม จะพิจารณาจากทั้งความรุนแรง ความเหมาะสม ความร่วมมือของผู้ป่วย ผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ วินิจฉัย ตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจสอบการนอนหลับ (polysomnography) เพื่อประเมินคุณภาพการนอนหลับและดูระดับความรุนแรงของโรค

สาเหตุของนอนกรน

นอนกรนเป็นผลมาจากทางเดินหายใจตอนบนตีบแคบลงหรือถูกปิดกั้น ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุดังต่อไปนี้
  • ทางเดินหายใจบริเวณจมูกถูกปิดกั้น พบได้ในผู้ป่วยภูมิแพ้ ผู้ป่วยไซนัสอักเสบ ผู้ป่วยริดสีดวงจมูก หรือผู้ที่มีโครงสร้างของจมูกผิดปกติ เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด เป็นต้น
  • ลิ้นและกล้ามเนื้อที่ลำคอหย่อนคลายตัว ทำให้ถอยกลับไปปิดกั้นทางเดินหายใจ พบได้ในผู้ที่หลับลึก ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากโดยเฉพาะในช่วงก่อนนอน ผู้ที่ใช้ยานอนหลับ รวมถึงผู้สูงอายุ
  • เนื้อเยื่อที่ลำคอมีขนาดใหญ่ พบได้ในคนอ้วน มีน้ำหนักตัวมาก คอหนาหรือมีขนาดของรอบคอมากกว่า 43 เซนติเมตร ผู้ที่มีต่อมทอนซิลหรือต่อมแอดีนอยด์โต
  • เพดานอ่อนหรือลิ้นไก่ยาว ทำให้ทางเดินหายใจหลังจมูกและลำคอตีบแคบลง และเมื่อเพดานอ่อนหรือลิ้นไก่สั่นหรือชนกันจะไปปิดกั้นทางเดินหายใจ
การวินิจฉัยนอนกรน
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการของผู้ที่นอนกรน หรือตรวจร่างกาย หากแพทย์สงสัยว่าจะมีสาเหตุมาจากความผิดปกติในช่องปากของผู้ที่นอนกรนในระดับที่ไม่รุนแรง เพื่อหาทางรักษาต่อไป หรือผู้ที่นอนกรนในระดับที่รุนแรง แพทย์อาจมีแนวทางในการวินิจฉัยอื่น ๆ ร่วมด้วยดังต่อไปนี้
  • การเอกซเรย์ (X-Rays) การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อตรวจสอบความผิดปกติหรือโครงสร้างของทางเดินหายใจ
  • การตรวจสุขภาพการนอนหลับ (Sleep Test หรือ Polysomnography) แพทย์อาจวินิจฉัยด้วยวิธีนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการนอนกรน ปัญหาสุขภาพ หรือปัญหาการนอนหลับอื่น ๆ อาจต้องนอนค้างที่โรงพยาบาลเพื่อศึกษาและวิเคราะห์การนอนหลับโดยผู้เชี่ยวชาญ จะมีการติดตั้งเครื่องมือหรืออุปกรณ์ตรวจจับและบันทึกสัญญาณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น คลื่นสมอง อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือด ระยะของการนอนหลับ การเคลื่อนไหวของดวงตา การเคลื่อนไหวของขาขณะนอนหลับ เป็นต้น
การรักษานอนกรน
เบื้องต้นแพทย์จะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สำหรับผู้ที่นอนกรนในระดับที่ไม่รุนแรง เช่น ลดน้ำหนัก หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะในช่วงเวลาก่อนเข้านอน เปลี่ยนท่านอนจากนอนหงายเป็นนอนตะแคง เป็นต้น ส่วนผู้ที่นอนกรนในระดับรุนแรงหรือมีสาเหตุการกรนมาจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แพทย์อาจมีแนวทางในการรักษาดังต่อไปนี้
  • การใช้อุปกรณ์ช่วยลดการนอนกรน จะใช้ในกรณีที่ไม่สามารถบรรเทาการนอนกรนได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น
    • อุปกรณ์ช่วยลดกรนทางจมูก เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ทางเดินหายใจในจมูก เช่น แผ่นแปะจมูก (Nasal Strip) มีลักษณะเป็นเทปกาวขนาดเล็กแปะที่บริเวณปีกจมูกทั้งสองข้าง
    • อุปกรณ์ช่วยลดกรนทางปาก เช่น แผ่นแปะคาง (Chin Strip) มีลักษณะเป็นแผ่นหรือเทปแปะที่บริเวณใต้คางเพื่อป้องกันการอ้าปากในขณะนอนหลับ เป็นต้น
    • เครื่องช่วยจัดตำแหน่งของขากรรไกรล่าง (Mandibular Advancement Device: MAD) จะช่วยเพิ่มพื้นที่หลังของลำคอและป้องกันการตีบแคบของทางเดินหายใจซึ่งจะทำให้ลิ้นสั่นในขณะหายใจและเกิดเสียงกรนได้
  • การผ่าตัด จะใช้ในกรณีที่ไม่สามารถบรรเทาการนอนกรนได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือการใช้อุปกรณ์ช่วยลดการนอนกรนได้ เช่น
    • การผ่าตัดกระชับเนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ และผนังคอหอย (Uvulopalatopharyngoplasty: UPPP) ในบางกรณีอาจมีการผ่าตัดต่อมทอนซิลและต่อมแอดีนอยด์ร่วมด้วย อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการพูดไม่ชัดหลังการผ่าตัด หรือเกิดผลข้างเคียงรุนแรงอย่างอื่นที่อาจเกิดขึ้นได้ประมาณ 1% เช่น เลือดออกมาก ปอดติดเชื้อ หัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดในสมอง เป็นต้น
    • การผ่าตัดตกแต่งเนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อนและลิ้นไก่โดยใช้เลเซอร์ (Laser-Assisted Uvulopalatoplasty: LAUP) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งแต่ในระยะยาวอาจให้ผลลัพธ์ได้ไม่ดีเท่าการผ่าตัดกระชับเนื้อเยื่อบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ และผนังคอหอย
    • การผ่าตัดเพดานอ่อน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้เนื้อเยื่อและลดการสั่นของเพดานอ่อนในขณะนอนหลับ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การผ่าตัดด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency Ablation: RFA) ด้วยการใช้คลื่นวิทยุทำให้เนื้อเยื่อแข็งแรงขึ้น หรือการฝังพิลลาร์ (Pillar Procedure) โดยฉีดเส้นใยสังเคราะห์โพลีเอสเตอร์ที่เพดานอ่อน
  • การใช้ยา เพื่อรักษาที่ต้นเหตุของการนอนกรน เช่น ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamine) ในการบรรเทาอาการบวมและระคายเคืองในจมูกของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือยาแก้คัดจมูก (Nasal Decongestant) แต่ไม่ควรใช้ต่อเนื่องนานเกิน 7 วัน เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงได้
ภาวะแทรกซ้อนของนอนกรน
นอนกรนนอกจากจะสร้างความรำคาญให้กับบุคคลที่นอนข้าง ๆ แล้ว อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
  • หยุดหายใจชั่วคราว อาจนานไม่กี่วินาทีหรือนานเป็นนาทีในขณะนอนหลับ มีสาเหตุมาจากทางเดินหายใจถูกปิดกั้นบางส่วนหรือทั้งหมด
  • นอนหลับไม่สนิท ตื่นกลางดึกหลายครั้ง ที่อาจรู้ตัวและไม่รู้ตัว ทำให้รู้สึกง่วงนอนในระหว่างวัน ส่งผลต่อการใช้ชีวิตและประสิทธิภาพในการขับขี่ยานพาหนะ
  • ความเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง หากเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นเวลานาน
การป้องกันนอนกรน
นอนกรนในระดับที่ไม่รุนแรงสามารถบรรเทาและป้องกันได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้
  • ลดน้ำหนัก โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน จะช่วยให้การนอนกรนลดลงได้
  • นอนตะแคง การนอนหงายเพิ่มโอกาสให้ลิ้นไปปิดกั้นทางเดินหายใจ วิธีแก้ ลองเย็บกระเป๋าเล็ก ๆ ที่ด้านหลังเสื้อนอน แล้วใส่ลูกเทนนิสลงไป หากกังวลว่าจะกลับมานอนหงายในระหว่างการนอนหลับ
  • นอนหมอนสูง โดยใช้หมอนรองให้ศีรษะสูงขึ้นประมาน 4 นิ้ว
  • ใช้แผ่นแปะจมูกหรือตัวถ่างจมูกในขณะนอนหลับ จะช่วยเพิ่มพื้นที่ทางเดินหายใจในจมูก ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น
  • ลดการปิดกั้นของทางเดินหายใจในจมูก ในผู้ป่วยภูมิแพ้หรือผนังกั้นช่องจมูกคดจะหายใจทางจมูกไม่สะดวกจึงต้องหายใจทางปาก ทำให้เพิ่มโอกาสในการนอนกรนได้มากขึ้น
  • ลดปริมาณหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน หรือหลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับและยาระงับประสาท เพื่อลดโอกาสที่ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณลำคอคลายตัวและปิดกั้นทางเดินหายใจ
  • เลิกสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุให้คัดจมูก และหายใจไม่สะดวก
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เด็กก่อนวัยเรียนควรนอนประมาณ 11-12 ชั่วโมงต่อวัน เด็กในวัยเรียนควรนอนอย่างน้อย 10 ชั่วโมงต่อวัน วัยรุ่นควรนอนประมาณ 9-10 ชั่วโมงต่อวัน และผู้ใหญ่ควรนอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน


    ข้อมูล บทความ ภาพ และเนื่อทั้งหมด มาจาก https://www.pobpad.com และ 
    www.bangkokhospital.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น